
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้เชิญผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมเตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน หลังจากสหรัฐอเมริกาได้โจมตี 3 โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (22 มิ.ย.) ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอิหร่านเป็นอย่างมาก และรัฐสภาอิหร่าน ลงมติเห็นชอบในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้ supply น้ำมันหายไปประมาณ 20% ของความต้องการโลก

โดยในส่วนของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 90% และมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ประมาณ 60% โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และโอมาน ซึ่งต้องขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
กระทรวงพลังงาน จึงได้เตรียมฉากทัศน์ (scenario) ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านหากทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก และระยะเวลาในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เพื่อดำเนินมาตรการการจัดเตรียมปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศ รวมทั้งการเตรียมหามาตรการช่วยเหลือด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 72 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่วนในด้านปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ณ วันที่ 23 มิ.ย.68 มีน้ำมันดิบ เพียงพอต่อความต้องการใช้ 22 วัน ส่วนน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง (ผ่านช่องแคบฮอร์มุซแล้ว) เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป เพียงพอต่อความต้องการใช้ 18 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน
"หากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการ เพื่อรักษาเสถียรภาพปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นภายในประเทศ" รองนายกฯ และรมว.พลังงาน กล่าว
ในส่วนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดูแลด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 22 มิ.ย.68 สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ติดลบประมาณ 35,408 ล้านบาท โดยเป็นบัญชีก๊าซหุงต้ม ติดลบ 44,403 ล้านบาท และในส่วนของบัญชีน้ำมัน สถานะเป็นบวก 8,995 ล้านบาท
โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งน้ำมันเบนซิน และดีเซล ไปแล้วรวม 4 ครั้ง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้กับประชาชนตามนโยบายของ รมว.พลังงาน
ในส่วนของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ต้องนำเข้าผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเตรียมรับผลกระทบต่อราคาไฟฟ้า นายพีระพันธุ์ ได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เตรียมหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากแหล่งอื่นที่มีราคาถูก เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ด้วยแล้ว
"หลังสถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการเร่งด่วน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ โดยการนำเข้าน้ำมันที่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ได้เตรียมแผนในการจัดหาจากแหล่งอื่นทดแทน โดยต้องคำนึงถึงต้นทุนราคาพลังงานเป็นสำคัญ รวมทั้งเตรียม Scenario ต่าง ๆ เพื่อรองรับโดยเฉพาะด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ และก๊าซ LNG ที่ต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" นายพีระพันธุ์ กล่าว
โดยด้านราคาน้ำมัน ส่วนหนึ่งจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมารักษาเสถียรภาพด้านราคา รวมทั้งอาจจะขอความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ในการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงพุ่งสูงขึ้น ในด้านปริมาณสำรอง ก็จะทำการจัดหาน้ำมันดิบจากแหล่งอื่นในภูมิภาคทดแทน และอาจเพิ่มปริมาณสำรองมากขึ้น ส่วนก๊าซ LNG จะสั่งการให้ กฟผ. เร่งเตรียมหาแหล่งก๊าซ LNG ราคาถูกมาเตรียมไว้
"ขอยืนยันว่า กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมแนวทางการบริหารจัดการด้านราคา และปริมาณสำรองภายในประเทศ หากการสู้รบรุนแรง และยืดเยื้อ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพลังงาน จะติดตามสถานการณ์และดำเนินทุกมาตรการ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปริมาณสำรองน้ำมัน และขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดการนำเข้า ก็จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย" นายพีระพันธุ์ กล่าว