
โดยทั่วไปแล้ว หากเราคิดถึง "การลงทุนและประกอบธุรกิจไฟฟ้า" เรามักจะคิดว่าการผลิตและจ่ายไฟฟ้าไปให้ถึงมือผู้ใช้ไฟฟ้า กล่าวได้ว่าเป็นวิธีคิดและวิธีการที่เน้นฝั่งการสร้างอุปทาน (Supply) พลังงาน เช่น บริษัท ก. ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า จ่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้เข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้า ระบบโครงข่ายไฟฟ้านำเอาหน่วยไฟฟ้าไปส่งมอบและจำหน่ายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้าจ่ายเงินค่าหน่วยไฟฟ้าที่ตนบริโภค
แต่หากเราคิดใน "มุมกลับ" เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีบุคคลหนึ่งใช้แรงและความพยายามที่จะรู้ว่าผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน หรือผู้ใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า มีรูปแบบพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอย่างไร ใช้ไฟฟ้าในปริมาณเท่าใด ในช่วงเวลาใด เมื่อได้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอันมีค่านี้แล้วก็นำเอาข้อมูลนี้มาบอกผู้ใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นว่า "หากท่านลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลานี้" จะไม่กระทบการประกอบกิจการหรือการดำรงชีวิตของท่าน หรือให้ท่านเปลี่ยนเวลาการใช้ไฟฟ้า (Time of Use - ToU) ไปเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งแล้วจะลดค่าไฟฟ้าได้ คือบอกให้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ไฟฟ้าถูกกว่านี้ได้
การลงมือดำเนินการนี้ย่อมช่วยให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้ามีภาระที่จะนำไฟฟ้าไปสู่ผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายลดน้อยลง หรือเรียกได้ว่าเป็นการตอบสนองด้านอุปสงค์ (Demand Response) คำถามคือ คนลงมือลงแรงนี้จะทำให้การตอบสนองด้านอุปสงค์และให้บริหารจัดการการใช้พลังงานดังกล่าวนี้เป็น "ธุรกิจพลังงาน" ประเภทหนึ่งได้หรือไม่ จะต้องขอรับใบอนุญาต และถูกรัฐกำกับดูแลอัตราค่าบริการ ตลอดจนคุณภาพของการให้บริการในแบบที่เป็นกิจการไฟฟ้าประเภทหนึ่งหรือไม่?
ในต่างประเทศ Enel X ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าในประเทศออสเตรเลีย กิจการนี้สามารถเริ่มต้นด้วยการที่ผู้ประกอบกิจการรายหนึ่ง (DR Provider) ทำงานร่วมกับตัวผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อระบุถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้ไฟฟ้ารายนั้น ๆ จะลดการใช้ไฟฟ้าหรือวางแผนการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้ประกอบกิจการรายนี้จะติดตั้งอุปกรณ์วัดหน่วยไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Meter) เพื่อส่งข้อมูลและสื่อสารไปยังผู้ให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อให้ DR Provider เห็นข้อมูลการใช้ไฟฟ้าตามเวลาจริง Enel X สามารถแนะนำได้ว่าผู้ใช้ไฟฟ้าควรลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาใด เช่น ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ระบบไฟฟ้ามีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง (Peak Load) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายสูงไปด้วย Enel X สามารถสื่อสารไปยังผู้รับบริการ (ผู้ใช้ไฟฟ้า) เพื่อจูงใจให้ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว บริการนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น "Peaking Response"
เมื่อ DR Provider สามารถรวบรวมความต้องการใช้ (โหลด) ไฟฟ้าได้ จึงสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางรวบรวมความสามารถของการตอบสนองด้านโหลดไฟฟ้าจากผู้ใช้ไฟฟ้าได้และรวบรวมข้อมูลว่ามีผู้ใช้ไฟฟ้ากี่รายที่พร้อมจะหยุดหรือลดการใช้ไฟฟ้า การประกอบการในส่วนนี้เราอาจเรียกได้ DR Provider นั้นทำหน้าที่เป็น "ผู้รวบรวมโหลด (Load Aggregator)" และเราอาจเรียกผู้ใช้ไฟฟ้าที่พร้อมจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าตามคำขอของผู้รวบรวมโหลดเหล่านี้ได้ว่าเป็น "ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เข้าร่วมกิจกรรมการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response Participants)"
ข้อมูลที่ DR Provider เก็บและใช้ในฐานะเป็น Load Aggregator เพื่อที่จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าเหล่านี้จะต้องถูกส่งไปยัง "สมอง" ของระบบไฟฟ้าที่จะวางแผนและสั่งการเพื่อลดการจ่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อธำรงรักษาความมั่นคงและสมดุลของระบบโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งอาจเรียกระบบนี้ว่าเป็น "ศูนย์ควบคุมระบบกำลังผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ (National Control Center)"
ศูนย์นี้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่สั่งให้โรงไฟฟ้าเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่สั่งลดหรือไม่เพิ่มการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย เนื่องจากได้ทราบมาแล้วว่าระบบโครงข่ายไฟฟ้าสามารถลดการผลิตได้ในช่วงเวลาใดจากผู้รวบรวมโหลด โดยศูนย์ควบคุมระบบกำลังผลิตไฟฟ้าแห่งชาติจะสั่งการต่อไปยังศูนย์อีกศูนย์หนึ่งที่ทำหน้าที่ตอบสนองด้านโหลดและควบคุมสั่งการต่อไปยังผู้รวบรวมโหลดต่อไป (Demand Response Control Center)
แม้ว่ากิจการ "ศูนย์ควบคุมเพื่อการตอบสนองด้านโหลด" นั้นจะมิได้เป็นกิจการไฟฟ้าตามนิยามของ "กิจการไฟฟ้า" ของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 โดยชัดแจ้ง แต่ผู้เขียนเห็นว่าการทำงานและการให้บริการของศูนย์ควบคุมเพื่อการตอบสนองด้านโหลดนั้น "ควรที่จะ" ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ "จัดให้ได้มา การจัดส่ง หรือการจำหน่ายไฟฟ้า" เนื่องจากการให้บริการนี้สนับสนุนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับหน่วยไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพจากระบบโครงข่ายไฟฟ้า หรืออาจถือได้ว่าเป็นกิจการ "ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า" ประเภทหนึ่งซึ่งมีศักยภาพควบคุมให้ระบบไฟฟ้าลดการจ่ายไฟฟ้าตามความต้องการที่จะลดลงได้
ในทำนองเดียวกัน กกพ. ควรจะสามารถอาศัยอำนาจตามมาตรา 47 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 เพิ่มประเภทใบอนุญาตผู้รวบรวมโหลดหรือเป็นผู้ให้บริการตอบสนองด้านโหลดในลักษณะเดียวกับ Enel X ของประเทศออสเตรเลีย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการจัดให้ได้มา การจัดส่ง หรือการจำหน่ายไฟฟ้าได้
หากมีการ "ตีความ" นิยามของกิจการไฟฟ้าในลักษณะที่เป็น "พลวัตร" ข้างต้น จะส่งผลให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดประเภทและอายุใบอนุญาตกิจการศูนย์ควบคุมเพื่อการตอบสนองด้านโหลดและใบอนุญาตผู้รวบรวมโหลด หรือเป็นผู้ให้บริการตอบสนองด้านโหลดได้ตามมาตรา 47 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550
ทั้งนี้ ในการออกใบอนุญาตเหล่านี้ (หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการให้สิทธิในการเข้าสู่ตลาดการตอบสนองด้านโหลด) นั้น กกพ. สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 50 และมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ระบุขั้นตอนในการคัดเลือกผู้ให้บริการโดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตได้
การใช้อำนาจกำกับดูแลของ กกพ.นั้นแม้เป็นอิสระในฐานะที่เป็น Independent Regulatory แต่ก็ไม่ได้เป็นเอกเทศแยกต่างหากจากนโยบายพลังงานของรัฐ เนื่องจาก กกพ.มีอำนาจในการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐตามมาตรา 11(1) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550
ผู้เขียนเห็นว่า การประกอบกิจการและให้บริการตอบสนองด้านโหลดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทยที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านแนวโน้มเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เริ่มส่งผลต่อการบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้า แล้วคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ก็ควรมีมติกำหนดนโยบายให้ กกพ. สามารถเพิ่มประเภทใบอนุญาตการตอบสนองด้านโหลดและผู้รวบรวมโหลดได้ การเพิ่มประเภทใบอนุญาตนี้มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อ "จำกัดการเข้าสู่ตลาด" แต่กลับทำหน้าที่ "ไฟเขียว" เป็นสัญญาณว่าการทำธุรกิจนี้มีได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อผู้รับใบอนุญาตศูนย์ควบคุมเพื่อการตอบสนองด้านโหลด การให้บริการรวบรวมโหลดไฟฟ้าหรือการให้บริการตอบสนองด้านการใช้ไฟฟ้านั้นตกอยู่ในระบบการกำกับของ กกพ. ในฐานกิจการพลังงานประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 แล้ว กกพ. สามารถกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบกิจการ กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อและการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ DR แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1 การเชื่อมต่อและสื่อสารระหว่างศูนย์ควบคุมการตอบสนองด้านโหลด กับผู้รวบรวมโหลด (LA) หรือผู้ให้บริการ DR โดยตรง และส่วนที่ 2 การเชื่อมต่อและสื่อสารระหว่างผู้รวบรวมโหลดกับผู้เข้าร่วม DR
โดยในแต่ละส่วนกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตทั้งสองประเภทนี้ "อ้างอิง" มาตรฐานในการประกอบกิจการ ทั้งในด้านการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูล และด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่ง กกพ. สามารถกำหนดระดับของการบังคับผูกพันที่จะต้องปฏิบัติได้ เช่น กำหนดว่าการดำเนินการตามมาตรฐานนั้นเป็น "แนวทาง" หรือกำหนด "เป็นทางเลือก" ในการปฏิบัติตาม
การให้บริการ DR นั้นจะต้องมีการใช้ชุดอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยส่วนเชื่อมต่อและสื่อสารกับโครงข่ายไฟฟ้า ที่สามารถรับและตอบสนองต่อสัญญาณการร้องขอบริการ DR จากภายนอก ซึ่งอาจใช้ชื่อเรียกส่วนนี้ว่า Gateway/Micro-EMS (FEMS, BEMS, HEMS) เพื่อกำกับคุณภาพของการให้บริการ
กกพ. อาจกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและศักยภาพตามที่กำหนด เช่น จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่สามารถรองรับการสื่อสารด้วยโปรโตคอลมาตรฐานสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล DR ระหว่างโครงข่ายไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เข้าร่วมการให้บริการ DR ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งต้องสามารถรับและตอบสนองต่อ DR Signal ได้ภายในเวลาที่กำหนด และอุปกรณ์รองรับโหมดการทำงาน (Auto-DR , Semi-auto DR) ตามสัญญาซื้อขายบริการ DR และตามข้อกำหนดของโครงข่ายไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องอื่น
ข้อสำคัญอีกประการคือ เมื่อการให้บริการตอบสนองด้านโหลดนี้กระทบต่อคุณภาพการให้บริการไฟฟ้าต่อผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็น DR Participants กกพ. สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ออกประกาศ กกพ. กำหนดหลักเกณฑ์ประกอบกิจการ DR โดยกำหนดหน้าที่เกี่ยวกับการคิดค่าปรับเมื่อคุณภาพในการให้บริการนั้นต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โดย กกพ. สามารถอาศัยอำนาจ กำหนด "มาตรฐานของการให้บริการ DR" ตามที่ กกพ. กำหนดซึ่งจะส่งผลให้ผู้รับใบอนุญาตที่ไม่สามารถให้บริการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
เมื่อผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็น DR Participants จะรับบริการจากผู้รับใบอนุญาตบริการรวบรวมโหลดไฟฟ้าหรือบริการตอบสนองด้านการใช้ไฟฟ้าก็อาจจะต้องเข้าทำสัญญารับบริการ DR ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตัวผู้ใช้ไฟฟ้ากับผู้ให้บริการ หากการให้บริการ DR นั้นถูกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจการไฟฟ้าแล้ว กกพ. สามารถออกประกาศ กกพ. กำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบกิจการ DR โดยกำหนดหน้าที่ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ DR ต้องใช้สัญญาตามแบบมาตรฐานที่ กกพ. รับรอง โดย กกพ. มีอำนาจตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ออกประกาศ "กำหนดแบบสัญญามาตรฐานของการให้บริการ DR" โดยกำหนดระบุข้อกำหนดในสัญญาให้บริการ DR โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (1) การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าของผู้ให้บริการกับระบบของผู้ดำเนินการ (2) การตรวจสอบและรับรองความพร้อมของอุปกรณ์ และ (3) ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ตรวจสอบ และบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ กกพ. ยังสามารถกำหนดให้สัญญาบริการ DR นั้นมีข้อกำหนดเกี่ยวกับเกณฑ์และวิธีคิดค่าบริการที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเป็นผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพจากการให้บริการ DR ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่บัญญัติเอาไว้ในมาตรา 65(1) โดยอัตราค่าบริการ DR ในส่วนของค่าพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วย (EP) ควรมีค่าต่ำกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยของโรงไฟฟ้าที่ถูกทดแทนด้วยโปรแกรม DR (โรงไฟฟ้า Peak-Load Unit)
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอสังเกตเพิ่มเติมว่าการให้บริการ DR นั้นควรถือได้ว่าเป็นกิจการที่สำคัญและจำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ในการใช้อำนาจกำกับอัตราค่าบริการ DR นั้นควรถูกกำกับตามหลักการที่กำหนดในมาตรา 65(3) ซึ่งบัญญัติว่า "ควรจูงใจให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการประกอบกิจการพลังงาน" หากจะให้ผลตอบแทนแก่การลงทุนลงแรงให้มีการใช้ประสิทธิภาพทางพลังงานก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการกำกับดูแลที่เหมาะสมในยุคการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน
หนึ่งในเป้าหมายของการรวบรวมโหลดและการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าคือทำให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าน้อยลง (อาจมีการใช้ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่รัฐรับซื้อไว้แล้วน้อยลง) หากจะมีการลดการใช้ไฟฟ้านี้ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีแผนการรับซื้อการลดการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้การลดการใช้ไฟฟ้าดังกล่าวนั้นมีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับการจัดหาไฟฟ้าด้วย
ในส่วนของการ "รับซื้อการลดการใช้ไฟฟ้า" นั้น กกพ. สามารถกำหนดในหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตศูนย์ควบคุมเพื่อการตอบสนองด้านโหลดออกประกาศรับซื้อการลดการใช้ไฟฟ้าและแสดงวิธีคิดอัตราค่าบริการ DR อย่างโปร่งใสและสอดคล้องกับนโยบายรัฐ
ยกตัวอย่างเช่น กกพ. อาจกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตศูนย์ควบคุมเพื่อการตอบสนองด้านโหลด มีหน้าที่ต้องกำหนดปริมาณรวมของพลังงานไฟฟ้าที่ต้องการจัดหาจากการตอบสนองด้านโหลดตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละรอบของประกาศ โดยระบุเป้าหมายการรับซื้อในหน่วยเมกะวัตต์ (MW) ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผน PDP และตามวัตถุประสงค์ของการใช้บริการ DR เพื่อรองรับการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเดือนของปี รวมถึงรองรับกรณีเหตุฉุกเฉินที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบโครงข่ายไฟฟ้า ทั้งในระยะสั้น และที่สามารถรับรู้ล่วงหน้าได้
นอกจากนี้ กกพ.ยังสามารถกำหนดในประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบกิจการ โดยพิจารณากำหนดปริมาณพลังไฟฟ้าขั้นต่ำ (kW, MW) ที่ผู้ให้บริการสามารถลดหรือรวบรวมจัดการได้ ไว้ในประกาศการรับซื้อในแต่ละรอบ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินการ และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดหา DR ในรอบนั้น ๆ สำหรับผู้รับบริการ (ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ 10 MW ขึ้นไป เพื่อทดแทนกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าตามสัญญา IPP หรือ SPP เป็นต้น)
โดยสรุปแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าการมีผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้า การให้บริการรวบรวมโหลด การให้บริการของศูนย์ควบคุมนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจการไฟฟ้าตามกฎหมาย แม้กฎหมายจะมีถ้อยบัญญัติเพียงว่ากิจการไฟฟ้าหมายถึง "การผลิต การจัดให้ได้มา การจัดส่ง การจำหน่ายไฟฟ้า หรือการควบคุมระบบไฟฟ้า" ก็ตาม แต่ถ้อยคำเหล่านี้น่าจะยืดหยุ่นพอที่จะเปิดช่องให้เกิดบริการ DR ได้ โดย กกพ. ควรได้รับไฟเขียวจากฝั่งนโยบายให้เพิ่มประเภทใบอนุญาตประกอบกิจการเหล่านี้ได้
การทำให้บริการเหล่านี้เป็นกิจการตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายไม่ได้ห้าม ย่อมเป็นการให้ไฟเขียวสำหรับภาคเอกชนที่จะลงมือประกอบกิจการด้วย ในมิติการคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็น DR Participants นั้น กกพ. จะสามารถกำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้าสู่ตลาดนี้ กำหนดระดับคุณภาพของการให้บริการและอุปกรณ์ด้าน DR ที่จะมีการใช้ในการบริการ กำหนดแบบสัญญาให้บริการ รวมถึงกำกับอัตราค่าบริการให้เหมาะสมเพื่อธำรงรักษาความมั่นคงปลอดภัยและความยืดหยุ่นของระบบโครงข่ายไฟฟ้า อีกทั้ง กกพ. ยังสามารถกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อการลดการใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วย
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย