
น.ส.อารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์นี้ยังคงมีความผันผวนสูง โดยได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงิน หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยกำหนดอัตราภาษีไว้ที่ 15-20% และเตรียมเรียกเก็บภาษียาในอนาคตอันใกล้ การกดดันเช่นนี้อาจสร้างความผันผวนในระบบเศรษฐกิจโลก และเพิ่มความไม่แน่นอนในการค้าระหว่างประเทศในระยะถัดไป
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้กำหนดเส้นตายใหม่ให้รัสเซีย ลดเวลาการเจรจาลงจาก 50 วัน เหลือเพียง 10-12 วัน พร้อมขู่ว่าหากการเจรจากับยูเครนไม่มีความคืบหน้า สหรัฐฯ จะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม สถานการณ์นี้อาจทำให้เกิดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
อีกประเด็นที่ต้องจับตาคือ สัญญาณจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่พยายามกดดันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยลดภาระงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเฟดมีท่าทีผ่อนคลายทางการเงินจริง จะส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ โดยนักลงทุนยังต้องติดตามผลการประชุมเฟด อย่างไรก็ตาม GCAP GOLD คาดว่า เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 4.25-4.50%
ขณะเดียวกันยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในวันศุกร์นี้ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าอัตราการว่างงานจะปรับขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.2% ส่วนการจ้างงานนอกภาคเกษตรอาจลดลงจาก 147,000 ตำแหน่ง เหลือ 108,000 ตำแหน่ง ตัวเลขเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้แนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำปรับลงสู่บริเวณ $3,300 และ $3,280 (เทียบเท่าราคาทองคำไทยประมาณ 50,800 - 50,500 บาท) ซึ่งเป็นโซนสำคัญที่ราคามีโอกาสดีดกลับได้ทันที หรืออาจทรงตัวก่อนปรับขึ้นในลำดับถัดไป ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการสะสมทองคำทั้งระยะสั้นและระยะกลาง แต่อย่างไรก็ดี หากราคาทองคำปรับตัวลงต่ำกว่า $3,265 จะเริ่มส่งสัญญาณลบต่อแนวโน้มขาขึ้นของรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด