ไทยรับมือ "ภาษีทรัมป์" ชู 3 หลักการปกป้องเกษตรกร พร้อมรักษาขีดความสามารถแข่งขัน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 1, 2025 16:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไทยรับมือ

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐฯ ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่อัตรา 19% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 68 เป็นต้นไป โดยอัตราดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในการเจรจาอย่างเข้มข้นของฝ่ายไทยที่ผ่านมา

ไทยรับมือ

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้เข้าร่วมในการกำหนดท่าทีภาคการเกษตร ร่วมกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และกระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ซึ่งในการเจรจาที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอท่าทีและยึดมั่นในหลักการสำคัญ เพื่อปกป้องภาคการเกษตรของประเทศอย่างถึงที่สุด คือ

1. ต้องเกิดผลกระทบน้อยที่สุด การเปิดตลาดใด ๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคา และการรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในประเทศ

ไทยรับมือ

2. ต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจน รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่พร้อมจะนำมาใช้ได้ทันที เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรในสินค้าแต่ละรายการ

3. ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของไทย การดำเนินการทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกับกฎหมายและกฎระเบียบของไทย โดยเฉพาะมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และไม่ให้กระทบต่อการค้ากับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ

นอกจากนี้ ไทยยังยึดหลักการพิจารณาการเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯ ดังนี้

(1) เป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตหรือผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ

ไทยรับมือ

(2) เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับกรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยเคยเจรจาไว้แล้ว

(3) เป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยเรียกร้องให้นำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลือง

(4) จะไม่เป็นการเปิดตลาดโดยทันที แต่ให้มีระยะเวลาในการทยอยเปิดตลาดสำหรับสินค้าบางรายการ

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหัวหน้าคณะเจรจาฯ รองนายกรัฐมนตรีฯ (นายพิชัย ชุณหวชิร) และกระทรวงพาณิชย์

นายฉันทานนท์ กล่าวว่า แม้จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีใหม่ แต่เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียด อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับนั้น ส่งผลให้ภาพรวมการแข่งขันทางการค้าของไทยในตลาดสหรัฐฯ ยังสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและส่วนแบ่งการตลาดสูงอยู่แล้ว ไทยมีความได้เปรียบประเทศคู่แข่งที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า โดยเฉพาะในสินค้าสำคัญอย่าง ข้าว ปลายข้าว และมะพร้าวอ่อนสด

ขณะเดียวกัน ไทยยังรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ สำหรับสินค้าที่ประเทศคู่แข่งได้รับอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกับไทย เช่น ยางธรรมชาติ ยางแผ่นรมควัน และเนื้อปลาทูน่า-สคิปแจ็คแช่แข็ง ไทยยังคงสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีอัตราภาษีไม่แตกต่างกันมากนัก

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ตระหนักดีว่า การเปิดตลาดอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรในประเทศบางรายการ อาทิ เนื้อโค และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ซึ่งอาจมีสินค้าจากสหรัฐฯ เข้ามาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบจากการเปิดตลาดอย่างรอบคอบ

"กระทรวงเกษตรฯ จะทำงานเชิงรุกร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับประกอบการเจรจาในรายละเอียดกับฝ่ายสหรัฐฯ ต่อไป พร้อมทั้งจัดทำมาตรการช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพเกษตรกรอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าภาคเกษตรของไทยจะได้รับประโยชน์สูงสุด และก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง" นายฉันทานนท์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ