นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT)
ดังนั้นไทยควรทำข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเติมกับประเทศต่างๆที่เป็นประตู (Gateway) สู่การค้าของภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก และใช้ประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอกับเปรูในการเจาะตลาดละตินอเมริกามากขึ้น ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางด้านอาหารและสามารถขยายตลาดส่งออกไปยังตะวันออกกลางผ่านข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำกับบาห์เรนได้ นอกจากนี้ควรเร่งรัดเจรจาเอฟทีเอกับอียู และแคนาดาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตลาดส่งออกไทยการขยายขอบเขตข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอที่ไทยทำไว้แล้วกับประเทศต่าง ๆ ให้ครอบคลุมการค้าบริการและภาคการลงทุนเพิ่มขึ้น ก็ควรเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทยด้วย
การเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าในอัตราใกล้เคียงกันทำให้ภาษีไม่ใช่ตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่คงเส้นคงวาเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนของต่างชาติ ส่วนอัตราภาษีสวมสิทธิ หรืออัตราภาษีสำหรับสินค้า Transshipment 40% กระทบสินค้าส่งออกจีนหนัก ขณะเดียวกันจะทำให้สินค้า Re-Export ในไทยมีแนวโน้มลดลง โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัดเพราะสินค้าเหล่านี้มีผลต่อมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจน้อยมาก อย่างไรก็ตามการเจอกับอัตราภาษีสูงของสินค้าสวมสิทธิ์จากจีน จะทำให้มีการขายสินค้าดังกล่าวมายังตลาดไทยและตลาดภูมิภาคเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตภายในต้องเตรียมรับมือสินค้าถูกจากจีนทะลักอีกระลอกหนี่ง ส่วนการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ มีอัตราภาษีนำเข้ามาไทย 0% จำนวนหมื่นรายการนั้นมีผลกระทบจำกัด เพราะส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตหรือผลิตไม่พอ ส่วนที่จะกระทบจะเป็นสินค้าที่เราผลิตแล้วแข่งขันไม่ได้ ซึ่งก็ต้องมีมาตรการในการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้นพร้อมลดต้นทุนการผลิต
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินและคาดการณ์ผลกระทบของความขัดแย้งไทยกัมพูชาต่อตลาดแรงงานและแรงงานกัมพูชาในไทย ซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติกลุ่มใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และบริการ โดยมีจำนวนตัวเลขเป็นทางการเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย 5 แสนคน เมื่อรวมกับแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองคาดว่าจะมีรวมกว่า 1-1.2 ล้านคน ซึ่งแรงงานเหล่านี้ไม่เพียงตอบสนองต่ออุปสงค์แรงงานในหลายกิจการในไทย แต่แรงงานเหล่านี้ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศกัมพูชาที่จะส่งเงินกลับบ้าน (Remittance) คิดเป็นรายได้สำคัญของเศรษฐกิจกัมพูชาราว 40,000-65,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 6.5% ของ GDP กัมพูชา
ผลกระทบเบื้องต้นต่อตลาดแรงงานจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดการอพยพของแรงงานกัมพูชากลับประเทศในช่วง 5 วันของความขัดแย้งรุนแรงในช่วงปลายเดือน ก.ค.68 จากแรงงานที่มีอยู่ประมาณ 400,000 คน โดยเดินทางกลับประเทศ 150,000 คนในวันแรกจากข่าวลือเรื่องความไม่ปลอดภัยภายในไทย ทางการควรมีมาตรการเชิงรุกในการลดการปลุกกระแสความเกลียดชังทางด้านเชื้อชาติและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนไทยและแรงงานกัมพูชา การที่แรงงานหลายแสนคนกลับประเทศในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ไทยประสบภาวะขาดแคลนแรงงานฉับพลันและยังกลายเป็นภาระต่อระบบเศรษฐกิจกัมพูชา เนื่องจากแรงงานเหล่านี้ไม่มีงานรองรับในประเทศ ขาดรายได้ และทำให้การส่งเงินกลับประเทศ (remittance) ลดลงทันที ขณะที่มีแรงงานกัมพูชาจำนวนไม่น้อยยังคงอยู่ในไทยต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลชายแดน เนื่องจากมีรายได้ที่สูงกว่าทำงานในประเทศตัวเอง มีงานมั่นคงและไม่มีหลักประกันอะไรว่าเมื่อเดินทางกลับประเทศแล้วยังคงมีงานทำ
อย่างไรก็ตาม การหายไปของแรงงานกัมพูชาจำนวนมากในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ก่อให้เกิดการขาดแคลนแรงงานแบบฉับพลัน กระทบการผลิตและการดำเนินงานของกิจการให้สะดุดได้ ส่งผลให้กิจกรรมในภาคเกษตร กิจการก่อสร้าง โรงงานแปรูปอาหาร โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างจันทบุรี ตราด และสุรินทร์ ซึ่งแรงงานกัมพูชาคิดเป็นกว่า 7080% ของแรงงานทั้งหมด ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องชะลอการผลิต หากสถานการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงาน ทางการควรเพิ่มการนำเข้าแรงงานจากลาวและเมียนมาชดเชย หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้แรงงานจากลาวและพม่าแทนแรงงานกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ราว 1-1.2 ล้านคน จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านปริมาณแรงงานทดแทนในระยะสั้น เนื่องจากแรงงานจากลาวมีจำนวนจำกัดและเน้นทำงานในภาคบริการ ขณะที่แรงงานพม่าส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและชายแดนตะวันตก-ภาคเหนือ
การทดแทนแรงงานกัมพูชาซึ่งเน้นหนักในภาคเกษตรและแปรรูปอาหารในภาคตะวันออกจึงอาจก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานเฉพาะพื้นที่และบางช่วงเวลาได้ โดยเฉพาะในช่วงเก็บเกี่ยว นอกจากนี้การเจรจาโควตาแรงงาน การตรวจคนเข้าเมือง และต้นทุนด้านกฎหมายอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติอย่างมาก การปรับโครงสร้างการผลิตจากการใช้แรงงานเข้มข้น มาใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้นขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในระยะยาว การลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่เป็นสิ่งที่ต้องมีการวางแผนลงทุนเอาไว้ล่วงหน้า