กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองเกี่ยวกับทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.85 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 32.84 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.33-32.84 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 สัปดาห์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% โดยตลาดตอบรับโทนการสื่อสารที่แข็งกร้าวของประธานเฟดในช่วงแถลงข่าวซึ่งไม่ให้คำมั่นว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โดยระบุว่าเฟดต้องการเห็นข้อมูลมากขึ้น
อนึ่ง ผลโหวตให้คงดอกเบี้ยอยู่ที่ 9 ต่อ 2 เสียง โดยมีกรรมการสองรายสนับสนุนให้ลดดอกเบี้ยลงในรอบนี้ สองเสียงคัดค้านนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปีของการประชุมเฟดซึ่งมักมีมติเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านดอกเบี้ยอย่างเป็นเอกฉันท์ ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) คงดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามคาดและปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1,775 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 1,848 ล้านบาท
สัปดาห์นี้ข้อมูลจ้างงานเดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ แย่เกินคาด รวมถึงการทบทวนตัวเลขเดือนมิถุนายนและพฤษภาคมลงอย่างมีนัยสำคัญ สั่นคลอนการฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์จากความชัดเจนเรื่องภาษีและมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถรับมือแผนการเก็บภาษีศุลกากรที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศตลอดเดือนกรกฎาคม และการทำข้อตกลงนาทีสุดท้ายกับหลายประเทศในเอเซีย
เรายังคงเชื่อว่ามาตรการภาษีนำเข้าส่งผลลบต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะยาวผ่านผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกดดันอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงซึ่งจะสนับสนุนการกระจายการลงทุนบางส่วนออกจากสหรัฐฯ ในที่สุด ขณะที่ยุโรปและจีนดำเนินนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 7 สิงหาคม
ส่วนปัจจัยในประเทศ รมว.คลัง กล่าวว่า อัตราภาษี 19% ที่ตกลงกับสหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับโลก เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสร้างโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราใหม่นี้ต่ำกว่าระดับ 36% ที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนอย่างมีนัยสำคัญ และสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 เล็กน้อยเป็น 2.2% จากเดิมประเมินไว้ที่ 2.1%