นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ 18,500 ล้านบาทโดยประมาณ โดยส่วนแรกเป็นโครงการในส่วนของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และส่วนที่ 2 เป็นของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่จะไปเพิ่มในเรื่องผู้กู้รายใหม่และดูแลผู้กู้รายเก่า ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองเรื่องมีการพิจารณาในคณะรัฐมนตรีและได้รับการอนุมัติ โดยไม่มีข้อทักท้วงใด ๆ
ส่วนงบประมาณที่ยังเหลืออยู่อีกประมาณ 20,000 ล้านบาทนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังต้องไปรอกระบวนการ ซึ่งในวันที่มีการพิจารณาคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์เจรจาต่อรองเรื่องภาษีแล้ววันนั้นยังไม่ตกผลึก แต่วันนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าเราได้อัตราภาษีที่ 19% และเราก็ไม่ได้เสียทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็มีการเปิดสินค้าจำนวนมาก แต่ในสินค้าที่ต้องดูแลเกษตรกรบางกลุ่ม รวมถึงสินค้าที่เราต้องให้ความคุ้มครองก็ยังได้รับการดูแลอยู่นั้น ถือว่าเป็นการได้ข้อตกลงที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์กับประเทศไทย
รมช.คลัง กล่าวว่า เมื่อมีความชัดเจนมาแล้วเช่นนี้ หลังจากนี้ก็คงต้องมาประชุมกันว่างบประมาณที่เหลือในการกระตุ้นเศรษฐกิจของปี 2568 เราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะยังไม่ได้มีการตัดสินใจ แต่จะนำไปใช้ในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นออกมา
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการ กระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ) ระยะที่ 2 จำนวน 2 หน่วยรับงบประมาณ เพื่อเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ในกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา เป็นการรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในปี 2568 และเป็นการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
1.1 หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
1.2 วัตถุประสงค์: เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ดึงดูดและรักษาการลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ด้วยการบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าเพิ่มถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาบุคลากร โดยในระยะสั้น สนับสนุนพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ และในระยะยาว สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร และการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถ
1.3 กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
1.4 งบประมาณ: 10,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ
2. โครงการการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวในปี 2568
2.1 หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
2.2 วัตถุประสงค์: เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568
2.3 กลุ่มเป้าหมาย: นักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า รวมจำนวน 139,481 ราย
2.4 งบประมาณ: 8,488 ล้านบาท
นายพิชัย กล่าวว่า ในระยะต่อไป คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป