นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 กล่าวว่า เสนอปรับลดวงเงินงบประมาณ 10% ที่รัฐบาลเสนอมา ซึ่งการจัดทำงบประมาณรายประจำปี ซึ่งอาศัยพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 และพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ในการกำหนดกรอบกติกาและมาตรฐานในการบริหารรายได้ การใช้จ่าย และการก่อหนี้ของรัฐ เพื่อให้การเงินการคลังของประเทศมีความมั่นคงและยั่งยืน แม้จะดำเนินการอย่างรอบคอบก็จริง แต่จากประสบการณ์ที่เข้ามาทำหน้าที่ กมธ. ตนมีความเป็นห่วงต่อสถานภาพทางการเงินและการคลังของประเทศในปัจจุบันและในอนาคตมากกว่าเดิม
"ถ้าหากเรายังมีวิธีคิดแบบเก่า วิธีการแบบเดิมในการบริหารการคลังของประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะมีปัญหา เราจะเจอวิกฤติการเงินการคลังในอนาคตอย่างแน่นอน" นายวีระ กล่าวอย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นปัญหามาตลอด และจะหนักหนาสาหัสมากขึ้นต่อไปในอนาคต คือในงบประมาณ 69 เป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล โดยมียอดขาดดุล 860,000 ล้านบาท และประมาณการรายได้ไว้ที่ 2,920,600 ล้านบาท ซึ่งปัญหาคือ การประมาณการที่ใช้ในการจัดทำงบปี 2569 โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.3-3.3% เท่าที่พิจารณาจากความเป็นจริงในขณะนี้ อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปี 69 น่าจะต่ำกว่านั้นมาก เป็นผลทำให้การประมาณการรายได้สูงกว่าความเป็นจริง และทำให้ต้องนำเงินคงคลังมาใช้ ตามมาด้วยการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังในอนาคต
นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายจำนวนหนึ่ง ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นเพียงการโอนเงินเท่านั้น เช่น การชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืม และการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับรัฐวิสาหกิจ สิ่งนี้ถือเป็นภาระทางการคลังที่น่าห่วงใยมาก
นายวีระ กล่าวต่อว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายที่ไม่สอดคล้องกับประมาณการรายได้ ทำให้การตั้งวงเงินงบประมาณรายจ่ายนั้นสูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ต้องกู้ยืมด้วยการทำงบประมาณขาดดุลเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ทำก็เป็นเพียงไม่ให้ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น การบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายแบบนี้ นับวันจะสะสมพอกพูนความเสี่ยงทางด้านการคลังของประเทศมากขึ้น
ขณะที่การจัดเก็บรายได้เมื่อเทียบกับ GDP มีลักษณะถดถอย จากเดิมที่เคยเก็บได้ 19-20% แต่ปัจจุบันลงมาเหลือ 14-15% ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย จึงขอตั้งสังเกตให้ได้คิดพิจารณากันในอนาคต
ทั้งนี้ หากดูไส้ในของงบประมาณสิ่งที่น่าตกใจและควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือภาระผูกพันในงบประมาณ ที่มียอดสูงถึง 1,656,643 ล้านบาท โดยเป็นภาระผูกพันใหม่ในงบปี 2569 จำนวน 352,091 ล้านบาท เท่ากับว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในอนาคต จะมีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เกิดสภาพกับดักทางงบประมาณ เพราะมีภาระผูกพันที่สะสมพอกพูน ซึ่งแก้ไขยากหากไม่เริ่มแก้ไขตอนนี้
นายวีระ กล่าวว่า ตนเคยเสนอการจัดงบประมาณในงบปี 68 ไว้ว่า ให้จัดทำแบบไม่เพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่าย และจัดทำงบประมาณเท่าที่มีความจำเป็น พูดง่าย ๆ "ใช้เงินกูเป็นหลัก เงินกู้เป็นรอง" สำหรับเงินกู้ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ก็ใช้แบบพอทำเนา ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัวเป็นหนี้สินพอกพูนในอัตราเร่งที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน
ทั้งนี้ หากดูยอดงบประมาณที่มีการขาดดุล 4% เมื่อเทียบกับ GDP เป็นอัตราที่เป็นอันตราย เพราะมาตรฐานในการขาดดุลงบประมาณ ไม่ควรเกิน 3% ด้วยเหตุที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัวต่ำ ตนอยากบอกว่า หากได้อ่านรายงานความเสี่ยงทางการคลัง ในงบประมาณปี 2567 และแผนการคลังระยะกลาง ปีงบประมาณ 2569-2572 ได้ส่งสัญญาณว่า อาจจะเกิดวิกฤติการเงินการคลังในอนาคต หากไม่แก้ไขตอนนี้
ดังนั้น ตนจึงเสนอให้ตัดลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ลงเป็น 10% เพื่อปรับฐานการเงินการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่ไม่ใช้เป็นการสะสมปัญหา จนกลายเป็นวิกฤติการเงินการคลังในอนาคต