SCB EIC ชี้ผลกระทบสงครามการค้า กดดันศก.ไทยเสี่ยงโตต่ำต่อเนื่องนาน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 27, 2025 12:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SCB EIC ชี้ผลกระทบสงครามการค้า กดดันศก.ไทยเสี่ยงโตต่ำต่อเนื่องนาน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ขยายตัว 1.8% (จากเดิม 1.5%) และปี 69 เพิ่มเป็น 1.5% (จากเดิม 1.2%) โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/68 ที่ประกาศออกมา ขยายตัวได้ 2.8%YOY สูงกว่าที่ประเมินไว้เล็กน้อย จากการเร่งส่งออกสินค้า และการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว ส่วนหนึ่งจากฐานต่ำ และจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่เจรจาได้ต่ำกว่าคาดเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งหลักในตลาดสหรัฐฯ ช่วยให้แนวโน้มส่งออกและลงทุนปรับดีขึ้นบ้าง

ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอาจขยายตัวเฉลี่ยไม่ถึง 1% ซึ่งเป็นการชะลอลงมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงปี 69 โดยแรงส่งหลักที่จะแผ่วลง คือ

1. การส่งออกจะหดตัวแรง โดยเฉพาะหลังหมดผล Front-loading ในตลาดสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าไทยจะลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เริ่มเก็บจริง

2. การท่องเที่ยวจะชะลอตัว SCB EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 68 เหลือ 32.9 ล้านคน และจะทยอยฟื้นตัวในปี 69 โดยความขัดแย้งบริเวณชายแดน อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวยังมีความท้าทายจาก Tourism war และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ชะลอลง

3. การลงทุนภาคเอกชน แม้ขยายตัวดีในไตรมาส 2/68 แต่ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐาน ภาพการลงทุนจะชะลอลงในระยะข้างหน้า จากผลของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ

4. แรงส่งภาครัฐแผ่วลง ตามการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้ และปัจจัยฐานต่ำในปี 67 เริ่มมีผลช่วยน้อยลง

  • จับตาความสามารถแข่งขัน แม้สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าไทยเหลือ 19%

SCB EIC ระบุว่า ในระยะสั้น แม้อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าไทย จะเหลือ 19% และไทยยื่นข้อเสนอใหม่ที่คำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ และบรรเทาความกังวลผลกระทบต่อเกษตรกร และผู้ประกอบการจากการเปิดตลาดลงได้บ้างนั้น

แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทย ที่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป ตลอดจนค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วช่วงที่ผ่านมา หากเปรียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากสงครามการค้าที่ยังต้องติดตาม ได้แก่

1. สินค้าส่งออกที่มี Import content สูง เสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสวมสิทธิเพิ่ม 40%

2. การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น กระทบ Margin ของผู้ประกอบการ

3. การรับมือปัญหา Import flooding และการปกป้องตลาดภายในประเทศทั่วโลกที่จะรุนแรงขึ้น

ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าอดีตมาก ส่วนหนึ่งจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงขึ้นมากจากอดีต ทำให้การพึ่งพา Growth model เดิมของไทยที่เติบโตด้วยการค้าโลก จะเป็นไปได้ยากขึ้น

นอกจากประเด็นการค้า ยังมีประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมผ่านช่องทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และแรงงาน ผลกระทบขึ้นกับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้และความยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมแนวโน้มของภาคธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก

โดยยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งที่เผชิญภาษีสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น หรือหากสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ มี Import content สูง อาจเสี่ยงถูกเพ่งเล็งกรณีสวมสิทธิ สำหรับการเปิดตลาดนำเข้าจากสหรัฐฯ ในเบื้องต้นคาดว่า ผลกระทบยังจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากภาครัฐอาจออกมาตรการกำหนดโควตากลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวมาก และปกป้องผู้ผลิตในประเทศ

  • ลุ้น กนง.หั่นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งปีนี้ และอีก 1 ครั้งปีหน้า

SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะปรับลดลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปี 69 จาก (1) ภาวะการเงินยังตึงตัวจากการชะลอลงของสินเชื่อและเงินบาทแข็งค่า อาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า (2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัย และ (3) อัตราเงินเฟ้อไทยต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องนาน

พร้อมประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 68 จะต่ำลงเหลือ 0.2% (เดิมมองไว้ 0.5%) จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงต่อเนื่อง โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือน จะกลับเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/68 แม้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังมีไม่มาก แต่ครัวเรือนไทยอาจกำลังเผชิญ "Debt Deflation" อยู่ ภาระหนี้สูงอาจลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือน ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง จนทำให้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) สูงขึ้นได้ในที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ