
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เตือนภาพรวมคุณภาพหนี้ธุรกิจไทยยังน่าห่วง ภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2/68 ขยับขึ้น นำโดยสินเชื่อธุรกิจ
จากข้อมูลระบบธนาคารพาณิชย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในไตรมาส 2/68 สะท้อนว่า สัดส่วน NPL หรือ Stage 3 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.83% จาก 2.81% ในไตรมาส 1/68 โดย NPL ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ยังคงมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs (7.79%) ขณะที่ NPL ของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ค่อนข้างทรงตัว (1.01%) ส่วน NPL ของสินเชื่อรายย่อยนั้น แม้จะลดลงบ้างในไตรมาส 2/68 แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย (4.07%) สินเชื่อบัตรเครดิต (3.92%) สินเชื่อบุคคล (2.76%) และสินเชื่อเช่าซื้อ (2.06%)
จากการพิจารณาชุดฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร หรือ NCB) ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจล่าสุด ณ ไตรมาส 1/68 พบว่า หนี้ NPL (รวมหนี้ที่มีวันค้างชำระตั้งแต่ 91 วันขึ้นไป และหนี้ที่ได้มีการ Write-offs ไปแล้ว) และหนี้ Special Mention (SM หรือหนี้ที่มีวันค้างชำระ 31-90 วัน) มีสัดส่วนรวมกันอยู่ที่ 5.03% ของสินเชื่อธุรกิจโดยรวม ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับ 5.02% ในช่วงปลายปี 67 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หนี้ด้อยคุณภาพจากฝั่งภาคธุรกิจ กลับเคยดีกว่านี้ในช่วง 1 ปีหลังเปิดประเทศจากเหตุโควิด โดยเฉพาะในไตรมาส 2/66 ที่มีสัดส่วนหนี้ที่มีปัญหาการด้อยคุณภาพ (SM & NPL) ที่ 4.39%
นอกจากนี้ เมื่อจำแนกตามระยะเวลาการค้างชำระ กลับพบสัดส่วนหนี้ที่มีวันค้างชำระ 31-90 วันเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในช่วง 1 ปีหลังเปิดประเทศ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจที่ยังไม่ปกติ สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีการฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง
โดยสินเชื่อธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ยิ่งชัดเจนกว่าธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยจากการศึกษาพบว่า ธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กลงมา มีปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพมากที่สุด โดยธุรกิจกลุ่มซุปเปอร์ไมโครมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือ NPL ในสัดส่วน 14.81% ตามมาด้วยกลุ่มไมโคร (12.11%) กลุ่มขนาดเล็ก (9.75%) กลุ่มขนาดกลาง 6.51% และกลุ่มขนาดใหญ่ 1.37% นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์ NPL ของธุรกิจขนาดซุปเปอร์ไมโคร ไมโคร และขนาดเล็ก มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างชัดเจนติดต่อกันมาแล้วหลายไตรมาสอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วัน ของทุกกลุ่มธุรกิจ ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมการปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในธุรกิจทุกขนาดตั้งแต่ช่วงต้นปี 67 หลังการเริ่มใช้เกณฑ์ Responsible Lending (RL) ของ ธปท. ซึ่งสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่ หรือราว 87.8% จะเป็นบัญชีของลูกค้าที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) และเป็นบัญชีที่เพิ่งมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วันในสัดส่วนสูงถึง 77.9% ซึ่งสะท้อนแนวทางการแก้ปัญหาหนี้เชิงรุกก่อนการเป็นหนี้เสีย ช่วยยับยั้งไม่ให้หนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น
ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และมีความไม่แน่นอนสูง จึงทำให้ปรากฎสัญญาณเปราะบางของคุณภาพสินเชื่อในเกือบทุกธุรกิจหลัก อาทิ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจที่พักแรม ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 31 วันขึ้นไปต่อสินเชื่อรวมในธุรกิจดังกล่าวที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ปี 68 ขณะที่แม้ภาคการผลิตจะมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 31 วันขึ้นไป ขยับลงเล็กน้อยในไตรมาสล่าสุด แต่ก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง
ลักษณะการเสื่อมของคุณภาพหนี้ในธุรกิจที่พักแรม ค้าส่งค้าปลีก รวมถึงก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ฯ เห็นผ่านหนี้ชั้น SM ที่เพิ่มขึ้น หลังเศรษฐกิจไทยเริ่มเผชิญปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอแรงส่งลง รวมถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนสูงที่กระทบปัญหาอำนาจซื้อของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกับสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น บ้านและที่อยู่อาศัย รวมไปถึงภาคเอกชนชะลอการลงทุนใหม่ ๆ ออกไป
จุดสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่สถานการณ์หนี้ของธุรกิจค้าส่งค้าปลีก เนื่องจากธุรกิจค้าส่งค้าปลีกเป็นธุรกิจเดียวที่เห็นสัดส่วน NPL ที่ขยับขึ้นติดต่อกันหลายไตรมาส ร่วมกับสัญญาณสะท้อนผ่าน SM ซึ่งย้ำผลด้านลบของปัญหาคุณภาพหนี้ที่เป็นผลพวงมาจากปัญหาอำนาจซื้อของผู้บริโภคในประเทศ การแข่งขันกับธุรกิจ Social Commerce และปัจจัยถ่วงเพิ่มเติมจากแนวโน้มการแข่งขันกับสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศจีน
SMEs มีการถดถอยของคุณภาพหนี้ติดต่อกันหลายไตรมาส ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อจากต่างประเทศและในประเทศ อย่างเช่นธุรกิจภาคการผลิตและที่พักแรม และธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อจากในประเทศเป็นหลัก เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์
จุดที่น่าห่วงคือ การขยายวงของปัญหาการด้อยลงของคุณภาพหนี้ได้ลามมาที่ลูกค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีของสินเชื่อธุรกิจที่พักแรม ขณะที่ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกจะเห็นปัญหาชัดขึ้นที่ลูกค้าขนาดกลาง ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์นั้น ปัญหาสะท้อนออกมาในกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งอาจหมายความถึงผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูลหนี้ด้อยคุณภาพล่าสุด ชี้ว่าภาคการผลิตมีหนี้ด้อยคุณภาพที่ลดลง แต่คงต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ในระยะข้างหน้าอย่างใกล้ชิด เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี เพราะขาดแรงส่งในภาคการผลิตและการส่งออก หลังจากได้รับแรงหนุนไปมากแล้วจากประเด็น Front Loading ในช่วงก่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariffs) ของสหรัฐฯ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ภาคการส่งออก
สำหรับไทยจะได้รับผลกระทบชัดเจนขึ้นจาก Tariffs ของสหรัฐฯ จนมีโอกาสหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงที่จะเริ่มเห็นสัญญาณการถดถอยของคุณภาพหนี้ที่ชัดเจนขึ้นของภาคการผลิต รวมถึงภาคธุรกิจหลักอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน โดยต้องติดตามว่า ปัญหาคุณภาพหนี้จะขยายวงกว้างมาสู่ธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดแบ่งกลุ่มหนี้ธุรกิจใหม่ตามลักษณะการชำระหนี้รายบัญชีในรอบ 1 ปีย้อนหลังของแต่ละจุดของเวลา โดยเริ่มจากการวิเคราะห์จากรหัสบัญชีตามฐานข้อมูล Commercial Database ของเครดิตบูโร และจัดเกรดสถานะของบัญชีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการชำระหนี้
โดยสามารถแบ่งสถานะบัญชีของหนี้ธุรกิจออกมาเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. สถานะปกติ (Good) 2. สถานะเริ่มมีปัญหา (Newly Impaired) ซึ่งเริ่มมีการค้างชำระของหนี้ 3. สถานะดีสลับแย่ (On-Off) ซึ่งมีพฤติกรรมการค้างชำระหนี้ และกลับมาจ่ายได้ และ/หรือกลับมาค้างชำระอีกครั้ง เป็นต้น และ 4. สถานะที่มีปัญหารุนแรง (Distressed) ซึ่งมีการค้างชำระหนี้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา โดยสถานะหนี้กลุ่มที่ 2-4 ตามมุมมองของสถาบันการเงินและเครดิตบูโร คือบัญชีที่มีสถานะไม่ปกติ โดยมักจะจัดอยู่ในกลุ่ม NPL พักหนี้ หรืออยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น
จากผลการศึกษา พบว่า แม้บัญชีสินเชื่อธุรกิจส่วนใหญ่ถึงประมาณ 95% ยังอยู่ในกลุ่ม Good แต่ก็มีจำนวนที่ลดลงจากปี 67 ซึ่งตรงข้ามกับจำนวนบัญชีในกลุ่ม On-Off และ Distressed ที่เพิ่มขึ้น โดยจำนวนบัญชีในกลุ่ม On-Off ณ สิ้นไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 1.37 หมื่นบัญชี เพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นบัญชีในปี 67 ขณะเดียวกัน จำนวนบัญชีในกลุ่ม Distressed ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 4.97 หมื่นบัญชีในปี 63 มาที่ 6.63 หมื่นบัญชีในปี 67 และ 6.92 หมื่นบัญชีในไตรมาส 1/68 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้น จึงได้ขยายกรอบระยะเวลา ย้อนหลังไปปี 62 ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาวิกฤตโควิด-19 ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศรัสเซีย-ยูเครน การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในประเทศ ปัญหาสงครามการค้า ปัญหาการไหลเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน ปัญหาความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวของไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีน เป็นต้น
ทั้งนี้ แม้จะพบว่า สัดส่วนบัญชีในกลุ่ม Good จะปรับดีขึ้นในช่วงหลังโควิดที่มีการเปิดประเทศใหม่ ๆ แต่ทิศทางก็กลับแย่ลงอย่างต่อเนื่องหลังจากช่วงปลายปี 64 เป็นต้นมา ซึ่งย้ำว่า ปัญหาเศรษฐกิจหลายระลอกมีผลโดยตรงต่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ซึ่งสามารถวัดได้จากความสามารถในการทำกำไรที่สะท้อนผ่านตัวเลขอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือ (% ROE) ของบริษัทจดทะเบียนที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าความสัมพันธ์ทางสถิติ (Correlations) กับสัดส่วนบัญชีหนี้ดี ถึงประมาณ 81% โดยธุรกิจขนาดยิ่งเล็ก สัดส่วนหนี้ที่ยังมีสถานะ Good ยิ่งต่ำลง โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มขนาดเล็ก ไล่ลงไปยังธุรกิจขนาดไมโคร และซุปเปอร์ไมโคร ที่เห็นสัดส่วนสินเชื่อในกลุ่ม Good ลดลงชัดเจนตั้งแต่ปี 67
จากการศึกษาธรรมชาติการไหลของหนี้เมื่อบัญชีสินเชื่อธุรกิจเริ่มมีสัญญาณของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ ว่ามีโอกาสจะเลื่อนชั้นกลับมาดีขึ้น หรือแย่ลงอย่างไรในไตรมาสถัดไป ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า เมื่อหนี้เริ่มมีวันค้างชำระเกิน 1 เดือนไปแล้ว อาทิ ค้างชำระในช่วง 31-60 วัน พบว่า บัญชีดังกล่าวยังมีโอกาสการฟื้นตัวกลับมาสู่ชั้นที่ดีขึ้นถึง 35.1% ในไตรมาสถัดไป ในทางกลับกัน พบว่า มีบัญชีอีกกลุ่มหนึ่งราว 11.8% จะไหลลงไปสู่หนี้ชั้น NPL ในไตรมาสถัดไป
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บัญชีลูกหนี้มีวันค้างชำระที่นานขึ้นจนเป็น NPL อัตราความสำเร็จในการแก้หนี้ด้วยวิธีปรับโครงสร้างหนี้จะลดลง ซึ่งน่าจะเป็นผลจากทั้งปัญหาสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่เรื้อรังรุนแรงเมื่อเวลาผ่านไป และแรงจูงใจในการกลับมาจ่ายหนี้อีกครั้งก็ยิ่งลดลง เพราะมูลหนี้รวมขยายใหญ่ขึ้นตามภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการค้างชำระ
จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาหนี้ธุรกิจและครัวเรือน พบว่า ลูกหนี้จำนวนไม่น้อยยังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เช่น คิดว่าเจ้าหนี้ไม่อยากช่วยแก้หนี้ จึงไม่กล้าเดินเข้ามาขอเจรจา, มีความเชื่อตามคำแนะนำในสื่อสังคมออนไลน์ว่า ให้หนีหนี้เพื่อมารอเจรจาที่ศาล ซึ่งจะมีโอกาสได้รับ Haircut, ไม่อยากขายทรัพย์ลดหนี้ เพราะเป็นที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมรดกตกทอด, ให้ข้อมูลเท็จกับเจ้าหนี้ หรือบอกข้อมูลไม่หมด จะได้เก็บทรัพย์สินบางส่วนไว้ก่อน หรือการเลือกกู้หนี้นอกระบบ ใช้สินเชื่อบัตรเครดิต หรือสินเชื่อบุคคลดอกเบี้ยสูง ๆ มาผ่อนหนี้ธุรกิจ ซึ่งความเชื่อและพฤติกรรมลักษณะนี้ เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการแก้หนี้ทั้งสิน
ทั้งนี้ จากการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า หนี้ที่เป็นกลายเป็นสถานะ NPL ไปแล้ว จะมีโอกาสเลื่อนชั้นสถานะกลับมาเป็นหนี้ปกติ หรือมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วัน เพียง 9.2% (ในรอบระยะเวลา 1 ปีต่อมา) ขณะที่สัดส่วนอีกประมาณ 87.9% ยังคงอยู่ที่สถานะชั้น NPL ตามเดิม
ปัจจุบัน ทางการไทยมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจและลูกหนี้ครัวเรือนหลายมาตรการ โดยฝั่งครัวเรือน มีการออกแบบมาตรการตามระยะของปัญหาหนี้สินและประเภทของหนี้สิน ขณะที่ ฝั่งธุรกิจ มาตรการมักเน้นการครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วไป มากกว่าเฉพาะเจาะจง เช่น โครงการคุณสู้เราช่วยสำหรับลูกหนี้เอสเอ็มอีที่มียอดสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท และมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของกรมบังคับคดีสำหรับหนี้ NPL รวมถึงมาตรการ Responsible Lending สำหรับหนี้ก่อนและหลังการเป็นหนี้เสีย
ทั้งนี้ จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล NCB จะเห็นว่า มาตรการ Responsible Lending มีประสิทธิผลมากที่สุดในการบรรเทาปัญหาการถดถอยของหนี้เสียผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกจัดชั้นเป็นหนี้เสีย โดยการปรับโครงสร้างหนี้จะทำให้สัดส่วนการฟื้นตัว (Success Rate) ของคุณภาพหนี้ ขยับขึ้นจาก 35.1% เป็นเกือบ 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม การแก้หนี้ธุรกิจอย่างยั่งยืน คงต้องอาศัยบริบทและองค์ประกอบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการศึกษาของบทความนี้ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางแก้ไขหนี้ ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1. องค์ประกอบแรก: การจัดกลุ่มลูกหนี้ และออกแบบมาตรการเฉพาะที่เหมาะสม
เนื่องจากแต่ละกลุ่มธุรกิจไม่ว่าจะเป็นขนาดธุรกิจและประเภทธุรกิจ มีสภาพปัญหา และความรุนแรงของระดับปัญหาที่แตกต่างกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันการเงินเจ้าหนี้และผู้กำหนดนโยบายจึงควรออกแบบมาตรการดูแลลูกหนี้ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิผลของการแก้หนี้ที่มากขึ้นตามไปด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงทดลองแบ่งกลุ่มหนี้ตามสถานะและพฤติกรรมการชำระหนี้ และเสนอมาตรการดูแลหนี้เพิ่มเติม โดยจำแนกมาตรการในช่วงก่อนเป็น NPL (Pre-NPLs) และหลังเป็น NPL (Post-NPLs) ปัจจุบัน ช่วงสถานะก่อนที่ลูกหนี้จะเป็น NPL หรือ Pre-NPLs จะมีมาตรการ Responsible Lending (RL) การให้ความรู้และคำแนะนำ รวมถึงการให้การค้ำประกันสินเชื่อผ่าน บสย. ซึ่งทำได้ในระดับจำกัดตามข้อจำกัดด้านเงินทุนของ บสย. ขณะที่เมื่อสัญญาณเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง
ดังนั้น ข้อเสนอมาตรการใหม่ จึงควรพุ่งเป้าหมายไปที่ 1) การดูแลลูกหนี้ดีหรือลูกหนี้ปกติ ที่รู้ตัวว่าธุรกิจตนเองมีโอกาสประสบปัญหาในอนาคต จนกระทบความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ ให้มีโอกาส ปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราว กับเจ้าหนี้ และ 2) การปัดฝุ่นหรือต่ออายุโครงการ Asset Warehousing ที่จะครบเงื่อนเวลาให้ธุรกิจที่เข้าโครงการ มาไถ่คืนทรัพย์ภายในปี 69 โดยอาจสามารถออกแบบให้นำวงเงินโครงการที่เหลือหลังการคืนทรัพย์ มาให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี หรือธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากกลุ่มโรงแรม เพื่อฝากทรัพย์ชั่วคราว แลกกับภาระการผ่อนชำระหนี้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยต่อลมหายใจของธุรกิจได้อีกหลายปีข้างหน้า
ส่วนมาตรการช่วงหลังลูกหนี้เป็น NPL แล้ว หรือ Post-NPLs นั้น อาจมุ่งเน้นไปที่ 1) มาตรการดูแลเฉพาะธุรกิจ ดังเช่นในกรณีประเทศเกาหลีใต้ 2) สนับสนุนกระบวนการจบหนี้นอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น การตีโอนทรัพย์จบหนี้ และการที่เจ้าหนี้ช่วยลูกหนี้ขายทรัพย์ เพื่อมาลดหรือปิดหนี้เป็นต้น และ 3) การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีตามกฎหมายให้รวดเร็วขึ้น และเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้สามารถผ่อนทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ที่เคยเป็นของตนเองได้ก่อนและในราคาที่สมเหตุสมผล เมื่อสามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เพื่อให้สามารถนำทรัพย์เดิมกลับไปสนับสนุนธุรกิจอีกครั้ง
2. องค์ประกอบที่สอง: ความร่วมมือจากทุกฝ่ายมีผลต่อความสำเร็จในการแก้หนี้
ตามหลักการแล้ว การออกแบบมาตรการที่เหมาะสม เป็นบันไดขั้นแรกของการแก้หนี้ โดยเปรียบเสมือนเครื่องมือที่เตรียมพร้อมรองรับการใช้งาน ขณะที่ความสำเร็จของการแก้ไขหนี้ที่ชัดเจนขึ้น จะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้ สถาบันการเงินเจ้าหนี้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เครื่องมือนั้นร่วมกัน ให้เกิดผลดังเป้าประสงค์
ยกตัวอย่าง มาตรการ Asset Warehousing รอบใหม่ จะไม่สามารถสำเร็จได้หากลูกหนี้ไม่ยอมเสียทรัพย์ชั่วคราวในทางปฏิบัติ สถาบันการเงินเจ้าหนี้ไม่ยอมปรับเงื่อนไขหนี้ให้ชั่วคราว และ/หรือภาครัฐไม่ช่วยผ่อนปรนเงื่อนไขหรือช่วยลดต้นทุนธุรกรรม เช่น ลดค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน หรือผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ เช่นเดียวกับมาตรการตีโอนจบหนี้ ที่จะมีประสิทธิผล ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ยอมขายทรัพย์ สถาบันการเงินเจ้าหนี้ยอมตัดหนี้สูญและรับรู้ส่วนสูญเสียในงบการเงิน รวมถึงทางการยอมลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับศาล กรมบังคับคดี หรือกรมที่ดิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่สำคัญคือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมเครดิตที่ถูกต้องให้กับลูกหนี้ เพื่อไม่ให้ถูกชักจูงจากความเชื่อที่ผิด ๆ รวมถึงสื่อสารให้ลูกหนี้ติดต่อเจ้าหนี้เมื่อมีสัญญาณว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ เพื่อหาทางออกของปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งย่อมจะมีประสิทธิภาพ มากกว่าการทิ้งปัญหาให้ยืดเยื้อยาวนานขึ้น ดังผลการศึกษาของบทความนี้ในส่วนก่อนหน้านี้
3. องค์ประกอบสุดท้าย: การแก้หนี้อย่างยั่งยืนแท้จริง ต้องจบที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
จากการศึกษาขององค์กรระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็น BIS (2003), IMF (2010) และ World Bank (2021) ต่างก็ชี้ถึงความสำคัญของหลาย ๆ เงื่อนไขที่มีผลต่อความสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้สินมีประสิทธิภาพและยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค นโยบายการเงินที่น่าเชื่อถือ ความเข้มแข็งของสถาบันการเงิน ความยืดหยุ่นของกระบวนการแก้หนี้นอกศาล และกรอบกฎหมายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคดีล้มละลายที่มีประสิทธิภาพ
อีกนัยหนึ่งคือ เงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่ดี จะช่วยให้รายได้ธุรกิจและครัวเรือนดีตาม ท่ามกลางค่าครองชีพและต้นทุนธุรกิจที่ไม่สูงจนเกินไป อันทำให้มีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้นตามมา ซึ่งหากผสมผสานกับบริบทของเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินที่แข็งแกร่ง (เพื่อให้สามารถรองรับผลกระทบจากการแก้ไขและปรับโครงสร้างหนี้ได้) และตลาดการเงินที่เอื้ออำนวย (เช่น ภาวะดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องสูง เอื้อต่อการระดมทุน) ก็น่าจะช่วยสนับสนุนให้การแก้หนี้สินภาคธุรกิจ ตลอดจนครัวเรือน บรรลุเป้าประสงค์ในปริมาณ (Scale) ที่ใหญ่ขึ้น และรวดเร็วขึ้นได้ในอนาคต
อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อจากนี้ไป ย่อมหมายถึงความจำเป็นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจระยะยาว ไม่เช่นนั้น ตัวเลขคุณภาพนี้ที่เป็นตัวแปรตามที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจ (Lagging Indicators) ก็จะยิ่งถดถอยลงในอนาคต ซ้ำเติมปัญหาวิกฤตกับดักการพัฒนาประเทศที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อย่างยากจะหลีกเลี่ยง