นักวิชาการชี้ภาวะชัตดาวน์ยาวเกินไตรมาสฉุด GDP สหรัฐฯ ร่วงกว่า 1%

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday October 5, 2025 15:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะมหาศาลและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทำงบประมาณขาดดุล ความจำเป็นในการขยับเพดานหนี้สาธารณะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ที่ 37 ล้านล้านดอลลาร์ แม้สหรัฐฯ จะลดขนาดขององค์กรรัฐ ตัดลดงบประมาณหลายด้านและเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีศุลกากร แต่รายจ่ายก้อนใหญ่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคมโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข โครงการ Obama Care มีความขัดแย้งในการจัดสรรงบระหว่างพรรคแดโมแครตและพรรครีพับรีกัน และไม่สามารถมีข้อสรุปในจัดสรรงบประมาณร่วมกันได้ ทำให้ต้องมีการปิดที่ทำการหน่วยงานของรัฐบาลชั่วคราว (Government shutdown)

สถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2519 เกิดภาวะ Government shutdown มาแล้ว 11 ครั้ง โดยครั้งยาวที่สุดคือ 35 วัน (ปลายปี 2561-ต้นปี 2562) ทำให้ Real GDP หดตัวชั่วคราวประมาณ 0.3% และเศรษฐกิจสูญเสียราว 11 พันล้านดอลลาร์ โดย 3 พันล้านดอลลาร์สูญหายถาวร (CBO 2019) ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจมีการประเมินโดยนักวิเคราะห์ในตลาดการเงินว่า ทุกสัปดาห์ของ shutdown ลด GDP 0.1% (7 พันล้านดอลลาร์) และหากยืดเยื้อทั้งไตรมาสอาจกด GDP ลงได้มากกว่า 1% ผลกระทบหลักคือการเลื่อนการเบิกจ่ายเกิดความล่าช้าและชะงักงันในการขอใบอนุญาตของรัฐ ข้าราชการหลายแสนคนถูกพักงานและสูญเสียรายได้ชั่วคราว รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อการวางแผนนโยบายและตัดสินใจลงทุนเผยแพร่ล่าช้า หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก โดยสหรัฐฯ นั้นมีมูลค่าหนี้ต่างประเทศใหญ่ที่สุดในโลกและหนี้เหล่านี้ถือครองโดยนักลงทุนทั่วโลก

หากเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ อย่างหนักเมื่อไหร่ โอกาสเกิดวิฤกตการณ์ตลาดการเงินโลก และวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกแบบทศวรรษ 1930 มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ภาวะดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่มันจะค่อย ๆ สะสมปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ และปะทุขึ้นในที่สุด

จากการประเมินเบื้องต้นของ DEIIT คาดว่า การเกิด US Government Shutdown ครั้งนี้มีโอกาสยืดเยื้อสูง ประกอบกับระบบเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดดันทางการค้าอยู่แล้ว หากมีการปิดทำการของหน่วยงานของรัฐเกิน 1 ไตรมาสจะทำให้จีดีพีสหรัฐฯ ลดลงไม่ต่ำกว่า 1% โดยการลดลงของจีดีพีสหรัฐฯ ในระดับดังกล่าวจะส่งแรงกดดันต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและมูลค่าการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยยสำคัญ และแน่นอนย่อมซ้ำเติมต่อภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะเดียวกันได้เพิ่มความเสี่ยงและความผันผวนต่อตลาดการเงินทั่วโลก กรณียืดเยื้อจะเพิ่มความผันผวน ความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจถูกปรับลดเครดิตความน่าเชื่อลงได้อีกในอนาคต และทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงอีก ภาวะดังกล่าวจะทำให้การใช้มาตรการผ่อนคลายการเงินและการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจมีข้อจำกัดมากขึ้น

นายภัทรพงษ์ มาลาวัลย์ นักวิจัย DEIIT กล่าวว่า การเกิดภาวะ Government shutdown ไม่ได้สะท้อนว่าสหรัฐ "ล้มละลาย" แต่เป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองในคองเกรสที่ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณหรือมาตรการขยายเวลา (Continuing Resolution) ได้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณในวันที่ 30 ก.ย.68 ทำให้หน่วยงานรัฐที่ไม่ได้มีภารกิจสำคัญหรือภารกิจหลักต้องหยุดชั่วคราว ขณะที่บริการหลัก เช่น กลาโหม ความมั่นคง และการแพทย์ฉุกเฉินยังคงดำเนินต่อ และมองว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดการเงินโลกต่อไป

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ผลกระทบของ U.S. Government shutdown ต่อตลาดการเงิน ยิ่งทำให้มีการโยกเงินมาลงทุนในตลาดทองคำเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้อีกในระยะต่อไปแต่อาจจะมีการปรับฐานเป็นระยะจากการทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุน หรือมีการปรับฐานหากธนาคารกลางสหรัฐฯชะลอการลดดอกเบี้ย การปรับฐานของราคาจะเกิดก่อนที่ราคาทองคำจะทดสอบจุดสูงสุดใหม่ในช่วงไตรมาสสี่ ปี 2568-กลางปี 2569 Goldman Sachs และ J.P. Morgan คาดว่าราคาทองคำยังมีทิศทางขาขึ้นต่อมีโอกาสแตะระดับ 3,900-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้อาจมีการพักฐานระหว่างทาง ราคาทองคำโลก (XAU/USD) ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,860-3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้แรงหนุนจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-การเมือง เช่น ความเสี่ยง Government Shutdown ของสหรัฐ ขณะเดียวกันธนาคารกลางทั่วโลกและกองทุน ETF ยังซื้อทองคำต่อเนื่อง ส่งแรงหนุนเชิงโครงสร้างต่อราคา ขณะที่ราคาทองในประเทศปรับขึ้นตามตลาดโลก โดยยังมีแรงซื้อจากผู้บริโภคและนักลงทุน แม้ราคาสูงขึ้นแล้ว แต่มีความกังวลจากแผนภาครัฐที่จะเก็บภาษีการซื้อขายทองคำเพื่อชะลอเงินบาทแข็งค่า ซึ่งภาคเอกชนคัดค้าน เนื่องจากอาจกระทบสถานะไทยในฐานะศูนย์กลางทองคำภูมิภาค การเก็บภาษีซื้อขายทองคำก็ไม่สามารถชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ระดับหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ