"คนละครึ่งพลัส-เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" หนุนกำลังซื้อเฉพาะหน้า แต่เศรษฐกิจจริงยังไม่ฟื้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 8, 2025 11:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) อย่างมาตรการคนละครึ่งพลัส & เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เบื้องต้นมีวงเงินราว 66,000 ล้านบาท (การให้เงินประชาชนที่อยู่ในฐานระบบภาษี 9 ล้านคน นอกระบบภาษี 11 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) ซึ่งจะใช้ได้ในช่วงวันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 68 น่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพของผู้บริโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกเอสเอ็มอีได้บ้าง

ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งคนละครึ่งพลัส & เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจส่งผลให้ยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4/68 เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 0.3% และภาพรวมทั้งปี 68 โต 3.1% ขยับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.8%

โดยประเมินจากการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคบนฐานธุรกิจค้าปลีกที่น่าจะเพิ่มราว 0.3 บาท หากผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท (Marginal propensity to consume: MPC) และภายใต้สมมติฐานการใช้จ่ายของผู้บริโภคเกิดขึ้นภายในในช่วงวันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 68 และมีกรอบวงเงินอยู่ที่ราว 66,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายมักเร่งขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล ผู้บริโภควางแผนใช้จ่ายช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่อยู่แล้ว แม้ไม่มีมาตรการฯ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่มและของใช้ส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายกว่า 80% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมด แต่ผลของมาตรการอาจทำให้ผู้บริโภคมีการทยอยซื้อสินค้าดังกล่าวแทนเงินของตัวเอง ขณะที่ภาระและค่าครองชีพยังสูง ดังนั้น แรงหนุนส่วนเพิ่มจากมาตรการคงไม่มากเท่าที่คาดหวัง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจช่วยหนุนบรรยากาศการใช้จ่ายของผู้บริโภคระยะสั้นหรือเฉพาะหน้า แต่ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ ธุรกิจค้าปลีกยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขาย

- กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนกันยายน ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ของปีนี้ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า (BSI) แม้ว่าจะขยับขึ้นมาเกินที่ระดับ 50 เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าปีก่อน บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังมีอยู่

สอดรับไปกับยอดขายค้าปลีกสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ในไตรมาสที่ 3/68 ของผู้ประกอบการบางรายที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย วัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน รวมถึงของใช้จำเป็น คาดว่ายังคงมีแนวโน้มหดตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.0% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2/68 สะท้อนถึงผลประกอบการที่ยังถูกกดดันจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังอ่อนแรง และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

- การแข่งขันยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งจากการแข่งขันกันเองในประเทศที่มีจำนวนผู้ประกอบการกว่า 1.2 ล้านราย เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1% (หรือเพิ่มขึ้น 13,000 รายต่อปี) อีกทั้งยังต้องแข่งกับสินค้านำเข้าโดยเฉพาะจากจีน ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้อาจเห็นการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนมากขึ้น

ทั้งนี้ สะท้อนจากในช่วง 8 เดือนแรกของปี 68 ไทยมีมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีน 3.6 แสนล้านบาท ขยายตัว 9% หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ