สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 พ.ย.) เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในยูโรโซน รวมถึงอิตาลีนั้น ยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยง นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่าเยอรมนีปฏิเสธแผนการนำทองคำในทุนสำรองมาใช้ในการเพิ่มทุนให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF)
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 35 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 1,791.1 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 74.4 เซนต์ ปิดที่ 34.828 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 2.9 เซนต์ ปิดที่ 3.5355 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 6.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 661.90 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 28.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,658 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างความคิดเห็นของนักวิเคราะห์หลายคนว่า สัญญาทองคำได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองของอิตาลี หลังจากมีรายงานว่านายกรัฐมนตรีซิลวิโอ เบอร์ลุสโคนี กำลังถูกกดดันให้ประกาศลาออก เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมของอิตาลีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เพื่อปูทางสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า เยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้มีการนำทองคำในทุนสำรองออกมาใช้ในการเพิ่มทุนให้กับกองทุน EFSF
เทรดเดอร์รายหนึ่งกล่าวว่า ข่าวคราวในด้านลบที่ออกมาจากฝั่งยุโรปยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำ และยังเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า นักเก็งกำไรกำลังกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนสัญญาทองคำพุ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้มีรายงานว่า SPDR Gold Trust กองทุนทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้เพิ่มการถือครองทองคำอีก 1.513 ตัน สู่ระดับ 1,245.064 ตัน ณ วันที่ 4 พ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน