
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่คลี่คลายลงก่อนหน้านี้ ได้กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อจีนได้ออกมาตรการควบคุมแร่หายาก ที่จีนสามารถควบคุมอุปทานของแร่หายากเหล่านี้ถึง 70% โดยแร่หายากนี้ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีทั้งหลาย รวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า เรดาห์ทหาร และเครื่องบิน
"การออกมาตรการเข้มงวดในการควบคุมส่งออกแร่หายากมายังสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทางการทหารของสหรัฐฯ รัฐบาลทรัมป์ได้ตอบโต้ ด้วยการขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 100% ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินไม่ได้คาดการณ์ไว้" นายอนุสรณ์ ระบุการตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยกำแพงภาษี 100% ย่อมทำให้มีผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างรุนแรง โดยมูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสียหายภายในวันเดียวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ปรับตัวลดลงแรงสุดในรอบครึ่งปี และคาดว่าปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบกดดันให้ตลาดหุ้นดิ่งลงทั่วโลกในสัปดาห์หน้า ตลาดการเงิน และเศรษฐกิจโลก จะมีความผันผวนรุนแรงมาก หากรัฐบาลทรัมป์ดำเนินเก็บภาษี 100% จริงตามที่ขู่ไว้ ตลาดการเงิน และเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความเสี่ยงและความไม่แน่นอนว่า จีนจะตอบโต้ด้วยกำแพงภาษีหรือไม่
สำหรับประเทศไทย ภาคส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเพิ่มเติม จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนระลอกใหม่ แต่จะมีสินค้าส่งออกบางส่วนของไทย จะได้ประโยชน์จากการนำเข้าทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ
"การประเมินผลกระทบนี้ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากเรายังไม่ทราบว่าพลวัตของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ระลอกใหม่จะเป็นอย่างไรในอนาคต ส่วนภาคการผลิตของไทย อาจต้องเผชิญสินค้าทะลักจากจีนเพิ่มเติมอย่างแน่นอน" นายอนุสรณ์ กล่าวพร้อมมองว่า ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ยิ่งทำให้นักลงทุนโยกเม็ดเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง มายังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และพันธบัตร ดันราคาทองพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทำให้ราคาทองรูปพรรณในประเทศ ขายออกบาทละ 62,100 บาท และมีโอกาสทดสอบ 65,000 บาทปลายปีนี้
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ทางการไทยควรดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม เพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว การผ่อนคลายทางการเงินจะส่งผลให้เงินบาทไม่แข็งค่ามากเกินไป เป็นผลดีต่อภาคส่งออก ภาคท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม นโยบายการคลังที่ดำเนินการอยู่เพียงบรรเทาปัญหา ต้องขยับการลงทุนให้ขยายตัวมากกว่านี้ เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและวางรากฐานเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งอาจไม่สามารถทำได้เต็มที่ในรัฐบาลเฉพาะกาล
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยนั้น ขาดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใน เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในธุรกิจอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกิจการส่งออกล้วนเป็นเทคโนโลยีต่างชาติที่เราซื้อมาเป็นส่วนใหญ่ การสร้างขึ้นมาเอง หรือพัฒนาต่อยอด สร้างนวัตกรรมสร้างฐานเติบโตใหม่ยังน้อย หากรัฐบาลใหม่ต้องการพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลาง โดยอาศัยการเติบโตภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกหลัก รัฐบาลต้องมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เหมาะสม
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถในแข่งขันสูงและมีผลิตภาพสูง รัฐควรมีนโยบายเชิงรับ เช่น สนับสนุนการวิจัย พัฒนานวัตกรรม ผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจ ลดการทุจริตรั่วไหล ส่วนอุตสาหกรรมที่ไทยมีผลิตภาพต่ำแข่งขันได้ไม่ดีนัก ควรใช้นโยบายเชิงรุก เช่น การให้สินเชื่อสนับสนุน การใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายใน และใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีหากจำเป็น การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ต้องเน้นการสนับสนุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งการปรับระบบภาษี เพื่อให้เกิดแรงจูงใจและความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นผ่านผลิตภาพที่สูงขึ้น