น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ระบุว่า ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางจีน (Public Bank of China) ที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมาว่าได้เพิ่มการถือครองทองคำขึ้นเป็น 74.09 ล้านทรอยออนซ์ ในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ถือครองอยู่ที่ 74.06 ล้านทรอยออนซ์ และเป็นการเข้าซื้อต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ สะท้อนว่าความต้องการทองคำของเหล่าธนาคารกลางทั่วโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดรับกับกระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarization) เป็นส่วนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเร่งตัวของแรงซื้อทองคำจากบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง นับจากปี 2565-2567 ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตันต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2553 -2564 ที่ 478 ตันกว่า 2 เท่า
นอกจากนี้ ทองคำยังมีปัจจัยบวกสำคัญที่จะสนับสนุนให้ภาพใหญ่ยังเป็นขาขึ้น คือแนวโน้มเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคให้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยลงทุนในการฝากเงินมาสู่การซื้อทองคำแท่งทั้งรูปแบบกายภาพและผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงการซื้อทองคำผ่านตลาดฟิวเจอร์ส เนื่องจากทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การประกาศยุติมาตรการ "คุมเข้มเชิงปริมาณ" หรือ Quantitative Tightening (QT) ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. นั้น ถือเป็นการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายลงเช่นกัน
ดังนั้น จากปัจจัยสนับสนุนจึงคาดว่าในไตรมาส 4/68 ทิศทางทางคำจะยังคงรักษาเทรนด์ขาขึ้นไว้ได้ต่อไป แม้ว่าระยะสั้นจะเกิดแรงขายทำกำไรเนื่องจากเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก โดยมองแนวรับสำคัญที่ 4,015-3,991 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากสามารถยืนเหนือแนวรับนี้ได้จะเป็นสัญญาณที่ดี
โดย YLG ยังมองว่า ปีนี้ทองคำจะยังไปถึงเป้าหมาย 4,380-4,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ คาดว่ามีโอกาสไปถึง 67,000-67,500 บาทต่อบาททองคำ โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 61,600-61,200 บาท