แก้สัญญาไฮสปีดไร้ข้อสรุป!! บอร์ด EEC โยนครม.ชี้ขาด

ข่าวเศรษฐกิจ Saturday November 15, 2025 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ที่มีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคมเป็นประธานได้หารือแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด และ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ในฐานะผู้รับสัมปทาน

อย่างไรก็ตาม การหารือร่วมกัน 5 ฝ่ายวันนี้ ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร แต่ที่เห็นตรงกันคือ จะนำเรื่องการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา และก่อนเสนอครม.จะต้องขอความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ, กระทรวงการคลัง เป็นต้น โดยตามขั้นตอนหลังจากนี้ ทาง EEC จะรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอบอร์ด EEC เห็นชอบก่อน คาดว่าจะประชุมกันในช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ จากนั้นจะเร่งนำเสนอครม.โดยเร็วที่สุด

ในการหารือ ตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า ในการแก้ไขสัญญาอาจจะต้องมีกระบวนการตามกฎหมาย โดยเฉพาะการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ซึ่งจะต้องมีภาระการเงิน ภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายคืนค่าร่วมลงทุน จึงเห็นว่าควรนำหลักการแก้ไขสัญญาเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบก่อน จึงให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจอีกครั้ง

นอกจากนี้ หากให้แก้สัญญาในการหารือมองว่า เอกชนที่เข้าร่วมยื่นซองประมูล อันดับที่ 2 อาจจะฟ้องร้องหรือไม่ เพราะหากรู้ว่ามาแก้ไขสัญญาทีหลังได้ก็สามารถทำข้อเสนอที่ดีกว่าได้ และยังมีความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดเรื่องแก้ไขสัญญา 18 ประเด็น ซึ่งมีบางประเด็นที่เอกชนเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งยังไม่ได้ส่งกลับไปที่ อัยการสูงสุด

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ทางเอกชนยืนยันว่าต้องมีการแก้ไขสัญญาโครงการ ส่วน EEC ไม่ได้ขัดข้อง เพราะต้องการให้โครงการเดินหน้าสำเร็จ ในส่วนกระทรวงคมนาคมนั้น ก็ดูว่าการแก้ไขสัญญาร่วมทุนนี้ จะตอบโจทย์ในประเด็นการให้เอกชนร่วมลงทุนได้จริงหรือไม่ คือหมายถึง การที่รัฐเปิดให้เอกชนยื่นซองประมูลโครงการแบบ PPP (การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน: Public-Private Partnership) ดังนั้นการแก้ไขสัญญาแบบนี้ ยังเป็นการดำเนินการอยู่ภายใต้ PPP อยู่หรือไม่ ซึ่งจากการหารือ ทางสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ได้ชี้ว่าผิดหรือถูก

นายพิพัฒน์ ระบุว่า หากเป็นความเห็นส่วนตัว ยังยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการแก้ไขสัญญาโครงการนี้ เพราะจะไม่เรียกว่าโครงการ PPP

อย่างไรก็ตาม มีอีก 1 ประเด็นที่ทางรัฐกับเอกชนยังเห็นไม่ตรงกันคือ ประเด็นการใช้สิทธิบังคับหลักประกันงานโยธา (Bank Guarantee) ให้ รฟท. สามารถยึดได้ทุกกรณีหากเอกชนผิดสัญญา ซึ่งทางซี.พี.เห็นว่าควรยึดตามสัญญาเดิมคือ ยึดหลักประกันได้ก็ต่อเมื่อเอกชนทิ้งงานโยธาเท่านั้น ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมครม.เป็นผู้พิจารณาว่า จะเอาด้วยกับหลักการข้อนี้หรือไม่

ส่วนการเสนอให้เอกชนก่อสร้างเส้นทางต่อไปถึง จ.ตราดนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เป็นการโยนโจทย์ไปให้คิด ซึ่งเอกชนต้องลงทุนเอง และเป็นสัญญาพ่วงไปเป็นอีกสัญญาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่า หากมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายนี้จะทำให้โครงการนี้ดึงคนมาใช้มากขึ้น รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้มาใช้สนามบินอู่ตะเภามากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ทาง ซี.พี. รับฟังไม่ได้ตอบรับ และการเสนอครม.ครั้งนี้ จะยังไม่มีเรื่องต่อขยายถึง จ.ตราด

ขณะที่ตัวร่างสัญญาที่แก้ไขแล้ว รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระบุว่า จะยังไม่เอาเข้าที่ประชุมครม. เพราะมีผลกระทบจากหลักการสร้างไป-จ่ายไป จึงควรจะตั้งงบประมาณมารอไว้ก่อน ซึ่งเป็นภาระการเงินการคลัง หากครม.มีมติอนุมัติแล้ว รฟท.จะได้ไปตั้งงบประมาณมาจ่ายได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ