ไม่เกินจริง!! นักเศรษฐศาสตร์ มธ. เทเสียงเชียร์ GDP Q4/68 โต 1.1% ตามคลังคาด

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 20, 2025 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไม่เกินจริง!! นักเศรษฐศาสตร์ มธ. เทเสียงเชียร์ GDP Q4/68 โต 1.1% ตามคลังคาด

นายพีระ เจริญพร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2568 จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ที่ระบุว่าจะอยู่ที่ 1.1% สูงกว่าตัวเลขของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งคาดการณ์ไว้เพียง 0.6%

ทั้งนี้ เพราะกระทรวงการคลังอาจจะมีการนำตัวแปรด้านนโยบายอื่น ๆ เช่น โอกาสจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ของกระทรวงพาณิชย์ หรือมาตรการการจัดการหนี้ครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อันมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่น และความกล้าในการลงทุน มาเป็นฐานในการคำนวณมากกว่าเพียงแค่ประเมินการใช้จ่ายของภาครัฐ และส่วนตัวเชื่อว่า แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาได้ทันภายในช่วงสิ้นปี ก็ยังจะไม่กระทบกับจีดีพีไตรมาสที่ 4 เท่าใดนัก

เนื่องจากการเจรจาซื้อขายระหว่างประเทศ จะมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฉะนั้นถึงแม้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีการเปลี่ยนแปลงกรอบอัตราภาษี ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางการค้ามาก แตกต่างกับประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถเจรจาให้เกิดความเป็นธรรมกับประเทศไทยได้ในระยะยาว นักลงทุนต่างชาติจะไม่กล้าเข้ามาลงทุนในประเทศที่ไม่สามารถสร้างแต้มต่อในกระบวนการเจรจาได้

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจีดีพีในระยะสั้นจะยังไม่มีปัจจัยบวก แต่ก็ยังสามารถกระตุ้นได้ด้วยมาตรการต่างๆ อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่เป็นไปเพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลดภาระหนี้ครัวเรือนเพื่อกระตุ้นการบริโภค การจูงใจโดยให้บริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีโอกาสลงทุนได้เร็วขึ้นผ่านการให้ Fast Track ต่าง ๆ ตลอดจนการที่รัฐบาลช่วยลงทุนนำในเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เอกชนไทยกล้าลงทุนมากขึ้น

"ในระยะกลาง สิ่งที่ควรดำเนินการต่อคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ที่เวียดนามมีการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปกว่า 800 ฉบับแล้ว และเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ภาครัฐ ภาคเอกชน ควรจะต้องลงในทุนในเชิงโครงสร้าง เช่น มีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ และต้องลงทุนในคน เช่น ต้องเสริมสร้างทักษะแรงงานเพื่อนำมาชดเชยกับจำนวนแรงงานที่ลดน้อยลง จึงอยากจะฝากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่การเลือกที่ใกล้จะถึงได้ให้ความสำคัญกับการหาเสียงในสิ่งเหล่านี้มากขึ้น แทนที่เราจะหาเสียงด้วยความกลัว เราควรหาเสียงด้วยความฝันถึงทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต" นายพีระ กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวด้วยว่า ทุกฝ่ายควรจะเรียนรู้บทเรียนจากการมีรัฐมนตรีคนนอกที่ไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ซึ่งมีศักยภาพ มีความความสามารถตรงตามภารกิจความรับผิดชอบของตนเอง จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนหลาย ๆ นโยบายของรัฐมนตรีคนนอก จะไม่ได้ทำเพื่อมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง แต่มุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดอย่างยั่งยืน

"ขณะนี้ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาคประสังคม สื่อสารมวลชน ภาคการศึกษา พูดตรงกันว่าการบริหารประเทศนับจากนี้ ไม่สามารถมองเพียงแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นได้อีกต่อไป แต่จะต้องมองทิศทางการพัฒนาในระยะกลาง ระยะยาวควบคู่ไปด้วยกัน" นายพีระ กล่าว

พร้อมระบุว่า การเดินหน้าปิดดีลข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-แคนาดา และไทย-เกาหลีใต้ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ จะเป็นส่วนช่วยที่สำคัญและสามารถลดความกดดันทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย ที่ดีกว่าไทย ก็เป็นผลมาจากการที่สองประเทศนี้มีจำนวน FTA ที่มากกว่าไทย จึงมีอัตราการส่งออกที่สูงกว่าไทย จึงขอสนับสนุนให้กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าเจรจา FTA กับประเทศต่าง ๆ อย่างเต็มที่

"ที่ผ่านมา ไทยมีรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามกระบวนการทางประชาธิปไตย จึงส่งผลให้หลายประเทศ ไม่ต้องการที่จะทำการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีด้วย แต่ปัจจุบัน หลายประเทศกำลังเดือดร้อนจากการถูกกีดกันทางการค้าโดยสหรัฐฯ จึงเชื่อว่าหลายประเทศเริ่มเปิดใจ และอยากทำข้อตกลง FTA ร่วมกัน ฉะนั้นท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้น อาจเป็นโอกาสของไทยในการเร่งดำเนินการเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ" นายพีระ กล่าว

นายพีระ กล่าวว่า แน่นอนว่าปัจจัยทางการเมือง ย่อมส่งผลโดยตรงกับตัวเลขทางเศรษฐกิจ ดังนั้นหากการเมืองในรัฐบาลชุดต่อไปมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่นในการลงทุนได้ และจะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมดำเนินไปในทิศทางที่ดี และเชื่อว่ารัฐบาลชุดถัดไป ก็จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ต่างไปจากสิ่งที่รัฐบาลในขณะนี้

การดำเนินการ อาทิ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ มาตรการจัดการแก้ปัญหาเรื่องหนี้เสีย ผ่านการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ การกระตุ้นให้คนที่มาขอรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้เกิดการลงทุนจริง ๆ แต่ก็ควรจะทำให้เงื่อนไขที่ช่วยพัฒนาประเทศที่สูงขึ้น และมองผลกระทบในระยะยาวมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ