นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างการหารือกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย ในการเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจเนื่องจากสินเชื่อเอสเอ็มอีหดตัวต่อเนื่อง 13 ไตรมาส เพราะสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อตาม credit cost ที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งมองว่าหากสินเชื่อดังกล่าวยังคงหดตัวต่อไปจะเป็นปัญหาทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพ
สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีนั้นจะเป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอีเพื่อลดความเสี่ยงของcredit cost จากการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีวงเงินรวม 1 แสนล้านบาท โดยเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินที่เหลือจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) รองรับการดำเนินการวงเงินปล่อยกู้ต่อรายคาดว่าจะอยู่ที่ 50-100 ล้านบาท โดยกลไกนี้จะลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้ธนาคาร 10-30% เช่น หากเป็นผู้ประกอบการที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 10% และผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 30% โดยกลไกนี้จะง่ายและไม่ซับซ้อนและช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น
โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักที่สอดรับกับ Reinvent Thailand และอื่น ๆ เช่น ค่าปลีกค่าส่ง กลุ่มที่มีศักยภาพในการปรับตัว กลุ่มที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เช่น ปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ local content เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น อาหารแปรรูปเกษตรแปรรูป Wellness เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียด คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2568 และสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569
ผู้ว่าการ ธปท.ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอให้ดำเนินมาตรการ QE ว่า สำหรับประเทศไทยนั้นมาตรการดังกล่าวอาจจะมีผลค่อนข้างจำกัดเนื่องจากจุดประสงค์หลักของมาตรการ QE คือการกดอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวให้ลดลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกตลาดเงินแต่ในบริบทของเศรษฐกิจไทย การจะเร่งให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้จริงก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการเร่งผลักดันโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว