นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนพ.ย. 68 สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะ 6 เดือนข้างหน้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง นำโดยภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแรงสนับสนุนจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และการเพาะปลูก ทั้งนี้ ควรติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ
*ภาคตะวันออก
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 77.6 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ โดยเฉพาะในภาคบริการและการจ้างงาน จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องของภาครัฐและเอกชน ประกอบกับคาดว่าภาคธุรกิจและการลงทุนจะเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการจ้างงานให้เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะหมดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และเริ่มมีฝนตกในบางพื้นที่ และสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80.6
*ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 75.8 โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นสำคัญ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการของรัฐบาล การจัดโครงการและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีต่อเนื่อง รวมถึงอุปสงค์สินค้าที่มีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเพาะปลูก
*ภาคเหนือ
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 74.7 โดยมีปัจจัยบวกจากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สนับสนุนการท่องเที่ยว และส่งเสริมผู้ประกอบการของรัฐบาล ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ต่อเนื่อง
*ภาคใต้
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 72.7 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความเชื่อมั่นในภาคบริการและการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของเดือน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุทกภัยในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่างส่งผลกระทบต่อภาคบริการและการเกษตรจากการปิดการให้บริการของร้านค้า การเดินทางขนส่งที่ไม่สะดวก และภาคเกษตรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามปกติ
*ภาคกลาง
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางอยู่ที่ระดับ 70.7 โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร จากอุปสงค์สินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อขยายตลาดสินค้าส่งออก ส่งเสริมผู้ประกอบการ สนับสนุนด้านพลังงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ และคาดว่าสภาพอากาศจะเอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม ควรต้องติดตามประเด็นความแปรปรวนของสภาพอากาศ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และราคาต้นทุนการผลิต
*ภาคตะวันตก
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ระดับ 70.2 โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคบริการและภาคเกษตร จากมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวและภาคเกษตร กระตุ้นการบริโภค และส่งเสริมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนและผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน
*กทม. และปริมณฑล
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 64.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มความเชื่อมั่นในภาคบริการและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางส่วนยังรอความชัดเจนและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลเพิ่มเติม
*"คนละครึ่งพลัส-เพิ่มวงเงินสวัสดิการแห่งรัฐ-เที่ยวดีมีคืน" ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจภูมิภาค
ในเดือนพ.ย. 68 กระทรวงการคลัง ได้จัดทำการสำรวจพิเศษเพื่อประเมินผลกระทบของนโยบาย Quick Big Win ซึ่งสะท้อนความสำเร็จตามเป้าหมาย "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว" อย่างชัดเจน โดยในระยะสั้น พบว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนมากที่สุด เนื่องจากช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้นทันที ส่งผลให้ร้านค้ารายย่อยและธุรกิจท้องถิ่นมียอดขายเพิ่ม เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของจังหวัดอย่างรวดเร็ว รองลงมาคือ โครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 68 และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว (เที่ยวดีมีคืน) ตามลำดับ
ส่วนในระยะปานกลางถึงระยะยาว โครงการที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนมากที่สุด คือ โครงการคนละครึ่ง พลัส โครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 68 และโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) (โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้) ตามลำดับ
นอกจากนี้ ผลการสำรวจเกี่ยวกับหลักสูตรพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส พบว่า ทักษะเกี่ยวกับการใช้ช่องทางออนไลน์เป็นทักษะที่ได้รับความพึงพอใจมากที่สุดและได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับทักษะที่เป็นที่ต้องการอื่น ๆ เช่น ความรู้ด้านภาษี การทำบัญชี การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ความรู้ด้านเครือข่ายและความปลอดภัยไซเบอร์ การตลาด การเพิ่มมูลค่าสินค้าและการประชาสัมพันธ์ และการตั้งคำถามและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบรรลุเป้าหมาย เป็นต้น