ผ่าวิกฤตข้าวไทย! Krungthai ชี้ปี 68 ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 15 ปี-เทรนด์ปี 69 ขาลงต่อจาก 6 ปัจจัยรุมเร้า

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 2, 2025 17:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ระบุว่าอุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน ต้นทุนการผลิตที่สูง ตลอดจนการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง พันธุ์ข้าวที่ไม่ตรงตามความต้องการของตลาดโลก และล่าสุดคือการกลับมาทำตลาดข้าวอีกครั้งของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในเวทีโลก

ราคาส่งออกข้าวขาวไทยต่ำสุดในรอบ 15 ปี โดยราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย ณ ต.ค. 68 อยู่ที่ 356 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือลดลง -31%YoY ขณะที่ปริมาณส่งออกข้าวไทยสะสมตั้งแต่ ม.ค.-ต.ค.68 อยู่ที่ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง -24%YoY จากการแข่งขันในตลาดส่งออกที่รุนแรง หลังจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง

ทั้งนี้ หากอินเดียระบายสต๊อกข้าว 20 ล้านตัน ช่วง ก.ย.68-ส.ค. 69 โดยทยอยระบายต่อเนื่องเฉลี่ย 1.6 ล้านตัน/เดือน (กรณี Base Case) ประเมินว่าปริมาณส่งออกข้าวไทยปีหน้าจะอยู่ที่ 7.0 ล้านตัน ลดลง -30% จากปี 67 ส่วนราคาเฉลี่ยส่งออกข้าวขาวไทย 5% จะอยู่ที่ 345-380 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ขณะเดียวกัน การส่งออกข้าวของไทยยังมีปัจจัยซ้ำเติมจากความต้องการนำเข้าข้าวของคู่ค้าลดลง เงินบาทแข็งค่า รวมถึงสหรัฐกดดันให้คู่ค้าเปิดเสรีนำเข้าข้าวเพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด อีกทั้งข้าวไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามในการมุ่งสู่ตลาดข้าว Low-Emission รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างจากต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง

*สถานการณ์ของอุตสาหกรรมข้าวในช่วงที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมข้าวไทยอยู่ในช่วงขาลงชัดเจนตั้งแต่ช่วงปลายปี 67 โดยหากพิจารณาด้านราคา พบว่า ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นข้าวส่งออกหลักของไทยมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 67 เป็นต้นมา เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาในตลาดส่งออกรุนแรงขึ้น หลังจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่กลับมาทำตลาดส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 67 จากที่ก่อนหน้ามีนโยบายจำกัดการส่งออก

โดยราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย ณ เดือน ต.ค. 68 อยู่ที่ราว 356 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือลดลง -31%YoY และเป็นระดับราคาส่งออกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาส่งออกข้าวขาว 5% ในปี 60-66 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่อินเดียจะจำกัดการส่งออกข้าวซึ่งอยู่ที่ราว 418 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของประเทศคู่แข่งอย่างอินเดีย และเวียดนาม ก็ปรับลดลงแรงเช่นกัน โดยมีราคาอยู่ที่ราว 360-366 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

อย่างไรก็ดี การกลับมาทำตลาดส่งออกข้าวของอินเดีย ส่งผลกระทบทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยหดตัวชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 68 หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วง ม.ค.-ต.ค. 68 ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง -24%YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณการส่งออกข้าวในเดือน ม.ค.-ต.ค. ตั้งแต่ปี 60-67 ที่อยู่ที่ราว 6.9 ล้านตัน โดยเฉพาะข้าวขาวซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ปริมาณการส่งออกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -41%YoY

*ปัจจัยกดดันอุตสาหกรรมข้าวในช่วงที่เหลือของปี 68 จนถึงปี 69

Krungthai COMPASS มองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมข้าวในปี 68-69 จะอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อรายได้ และกำไรของผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้อย่างธุรกิจโรงสีข้าว และผู้ส่งออกข้าว นอกจากนี้ ทิศทางราคาข้าวที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในปีหน้า ยังสร้างความเสี่ยงขาดทุนสต๊อก ภายใต้แรงกดดันจาก 6 ความท้าทาย ดังนี้

1. ความท้าทายจากการระบายสต๊อกข้าวของอินเดีย :

อินเดียประกาศระบายสต๊อกข้าวครั้งใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาอุปทานข้าวโลกล้นตลาด โดยเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 อินเดียประกาศระบายสต๊อกครั้งใหญ่ ภายใต้โครงการ Open Market Sale Scheme (OMSS-D) ซึ่งจะมีผลในการทยอยปล่อยข้าวออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วง ก.ย. 68 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายรวมกว่า 20 ล้านตัน ซึ่งจะกดดันราคาข้าวในตลาดโลกให้ต่ำลง เนื่องจากอินเดียครองสัดส่วนการส่งออกข้าวมากกว่าหนึ่งในสามของโลก ทำให้เกิดภาวะข้าวล้นตลาด (oversupply) ซึ่งจะทำให้ราคาข้าว เช่น ข้าวขาว 5% ถูกกดดันให้ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกคู่แข่งอย่างไทย เวียดนาม และปากีสถาน ที่ต้องปรับลดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ USDA ที่คาดว่าในปี 68 อินเดียจะส่งออกข้าวได้ราว 23.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 67 ราว 63% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 63-67 ที่อยู่ที่ราว 17.9 ล้านตัน

Krungthai COMPASS คาดว่า การระบายสต๊อกข้าวของอินเดียจะทำให้ราคาและปริมาณส่งออกข้าวไทยลดลง โดยในปี 68 คาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ราว 405 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สอดคล้องกับการประเมินของ World Bank ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 406 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนในปี 69 ประมานการโดยใช้สมการถดถอย (Regression Model) กำหนดให้อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการค้าข้าวโลก เป็นตัวแปรต้น (ปริมาณการค้าข้าวโลกเป็นปัจจัยที่สะท้อนอุปทานข้าวโลกได้ระดับหนึ่ง เพราะเมื่อปริมาณการค้าข้าวโลกเพิ่มขึ้น อาจหมายความว่ามีอุปทานในประเทศเหลือมากจนต้องระบายส่งออก)

โดยพบว่า ความยืดหยุ่นของอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาข้าวไทยต่อการประเมินดังกล่าวสอดคล้องกับงานศึกษาของ Durand-Morat & Wailes (2018) จาก University of Arkansas ที่พบว่า หากปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ราคาข้าวเฉลี่ยในตลาดโลกลดลงประมาณ 0.6-0.8% เช่นเดียวกับผลการศึกษาของ Gilbert (2010) ที่ชี้ว่าความผันผวนของราคาข้าวส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการค้าข้าวรวมในตลาดโลกและนโยบายการค้าของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่

ส่วนปริมาณส่งออกข้าวไทยในปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 7.2 ล้านตัน หรือลดลง -28%YoY สอดคล้องกับการประเมินของ USDA ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 7.2 ล้านตัน ส่วนในปี 69 ประมาณการโดยสมการถดถอย ซึ่งกำหนดให้อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการส่งออกข้าวอินเดีย เป็นตัวแปรต้น พบว่า ความยืดหยุ่นของการส่งออกข้าวไทยต่อการส่งออกข้าวอินเดียมีค่า -0.2 ซึ่งหมายถึง หากอินเดียมีปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยลดลงราว -0.2% แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างกัน ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดส่งออกข้าวโลกระหว่างไทยกับอินเดีย โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลก (Price Elasticity) มีค่าที่ราว -0.4 ซึ่งหมายถึงเมื่อปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% ราคาข้าวไทยจะลดลงราว -0.4%

ทั้งนี้ ในการประเมินผลกระทบจากการระบายสต๊อกของอินเดีย แบ่งเป็น 3 กรณี โดยคำนึงถึงปริมาณและจังหวะการระบายข้าว และมีสมมติฐานว่า มาตรการระบายข้าวของอินเดียจะมีผลต่อราคาและปริมาณการส่งออกข้าวของไทย ส่วนประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อื่น ๆ เช่น เวียดนามและปากีสถาน ปริมาณส่งออกข้าวจะเติบโตตามศักยภาพ (Potential Growth) โดยไม่ได้มีมาตรการเร่งระบายสต๊อกข้าวเหมือนอินเดีย นอกจากนี้ยังไม่รวมผลจากปัจจัยภายนอกอื่น เช่น ปัจจัยสงครามการค้า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

- กรณีฐาน กำหนดให้อินเดียระบายสต๊อกข้าวทั้งหมด 20 ล้านตัน เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือน ก.ย. 68-ส.ค. 69 ซึ่งจะทำให้ในระยะเวลาดังกล่าวอุปทานข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง

- กรณีดีที่สุด กำหนดให้อินเดียระบายสต๊อกข้าวทั้งหมด 15 ล้านตัน ในระยะเวลาเดียวกับกรณีฐาน โดยแบ่งอีก 5 ล้านตันไว้สำหรับการใช้ในประเทศ

- กรณีเลวร้ายที่สุด กำหนดให้อินเดียระบายสต๊อกข้าวทั้งหมด 20 ล้านตันในระยะเวลาสั้นกว่าในกรณีฐาน โดยเร่งระบายสต๊อกภายใน 10 เดือน หรือตั้งแต่ เดือน ก.ย. 68-มิ.ย. 69

2. ความท้าทายจากความต้องการนำเข้าข้าวของคู่ค้าที่ลดลง :

อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย โดยในปี 67 ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียราว 1.3 ล้านตัน สูงเป็นลำดับที่ 1 ซึ่งเกิดจากในช่วงปี 2566-67 อินโดนีเซียได้เพิ่มโควตาการนำเข้าข้าวเพื่อควบคุมราคาในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 68 รัฐบาลอินโดนีเซียมีการประกาศใช้มาตรการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ ด้วยการจำกัดการนำเข้าข้าว เนื่องจากผลผลิตในอินโดนีเซียมีเพียงพอสำหรับการบริโภค ทำให้ตั้งแต่ช่วง ม.ค.-ส.ค. 68 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปตลาดอินโดนีเซียลดลงถึง 1.04 ล้านตัน (ลดลง -94%YoY)

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยลำดับที่ 6 ที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 13% หรือ 6.5 แสนตัน ในปี 67 ได้มีนโยบายห้ามนำเข้าข้าวเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 68 ถึงต้นปี 69 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมของไทย

3. ความท้าทายจากสหรัฐฯ เร่งเจรจาคู่ค้าเปิดเสรีข้าว เพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด :

สหรัฐฯ ได้เจรจากับคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่นให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและรายได้จากการส่งออกข้าวไปยังญี่ปุ่น โดยในปี 67 ข้าวไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 43% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของญี่ปุ่น โดยในช่วงเดือน ก.ค. 68 สหรัฐฯ และญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจะเพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ถึง 75% ภายใต้ระบบโควตา "Minimum Access" ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวได้โดยไม่เสียภาษีศุลกากรประมาณ 770,000 ตัน/ปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของข้าวไทยในญี่ปุ่น ดังนั้น การที่สหรัฐฯ เจรจาญี่ปุ่นให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจทำให้ข้าวไทยเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดญี่ปุ่น

4. ความท้าทายจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า :

ค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทย สอดคล้องกับมุมมองของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่มองว่า หากเงินบาทแข็งค่า อาจทำให้ตั้งราคาส่งออกลำบากและแพงกว่าคู่แข่ง โดยหากค่าเงินแข็งทุก 1 บาท จะทำให้ราคาส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 15 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่งผลให้ราคาข้าวไทยในเชิงเปรียบเทียบสูงกว่าคู่แข่ง เช่น เวียดนามหรืออินเดีย ทำให้ผู้นำเข้าบางประเทศหันไปซื้อจากแหล่งอื่นแทน ในทางกลับกัน หากเงินบาทอ่อนค่า ราคาข้าวไทยจะถูกลงในสายตาผู้ซื้อ ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้นและรายได้สุทธิของผู้ส่งออกสูงขึ้น

โดยผลการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทและปริมาณการส่งออกข้าวไทยมีค่า Correlation ราว 0.5 ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกและสะท้อนว่าค่าเงินบาทมีผลต่อการส่งออกข้าวของไทย ทำให้ในระยะข้างหน้าหากค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง อาจทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยมีแนวโน้มลดลง

5. ความท้าทายจากข้าวไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามในการปรับตัวไปสู่ตลาด Low Emission Rice ซึ่งกระทบโอกาสในการขยายตลาดข้าวพรีเมียม :

เวียดนามเร่งพัฒนาข้าวที่มีคุณภาพตามแนวทาง ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ "Green & Low Emission Rice" สำหรับส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นและยุโรป พร้อมแผนพัฒนาเกษตรแบบลดคาร์บอนในพื้นที่กว่า 1 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 73

ขณะที่เกษตรกรเวียดนามมีการนำนวัตกรรม เช่น การปลูกแบบเปียกสลับแห้ง หรือ Alternate Wetting and Drying (AWD) และการใช้โดรนพ่นปุ๋ย มาลดการใช้น้ำและก๊าซมีเทนอย่างเป็นรูปธรรม ในทางกลับกัน ไทยแม้จะมีโครงการต้นแบบร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น TGCP-Agriculture และ Olam Agri ที่พัฒนาเกษตรยั่งยืน แต่ยังอยู่ในวงจำกัดและขาดการสร้างแบรนด์ระดับประเทศในเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันตลาดโลกเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG เป็นปัจจัยหลักในการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียม หากไทยยังไม่เร่งยกระดับการพัฒนา ESG ในอุตสาหกรรมข้าวอย่างจริงจังและเป็นระบบ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าสูงให้กับคู่แข่งอย่างเวียดนาม

6. ความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย ที่ยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง กดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจากต้นทุนที่ยังคงสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ :

ผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม เป็นหนึ่งในจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวไทยในระดับโลก ปัจจุบัน เกษตรกรไทยผลิตข้าวได้เพียง 458 กิโลกรัม/ไร่ ขณะที่เวียดนามผลิตได้ถึง 986 กิโลกรัม/ไร่ แม้จะอยู่ภายใต้ต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อหารด้วยผลผลิตที่ต่างกัน ต้นทุนเฉลี่ย/กิโลกรัมของข้าวไทยจึงสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ไทยเสียเปรียบในการตั้งราคาขาย

โดยปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตข้าวไทยยังต่ำ เกิดจากการใช้พันธุ์ข้าวที่ไม่ตอบโจทย์การตลาดและสภาพอากาศ การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ไม่ทั่วถึง จนถึงเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ยังไม่พัฒนา หากไทยไม่เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ให้เทียบเท่าคู่แข่ง ข้าวไทยอาจค่อย ๆ สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านต้นทุนและส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว

*แนะผู้ประกอบการ "ย้ายสนามแข่งขัน" ผ่าน 4 แนวทางหลัก

Krungthai COMPASS ระบุว่า อุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังเผชิญความท้าทายที่สำคัญ จากการกลับมาของอินเดียในตลาดโลก รวมถึงการที่ประเทศผู้นำเข้าที่เร่งสร้างความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ ทำให้คาดว่าในปี 69 ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยจะอยู่ที่ราว 360 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และมีปริมาณการส่งออกที่ราว 7.0 ล้านตัน ซึ่งทำให้ซ้ำเติมปัญหาผลผลิตและสต๊อกล้นประเทศจนทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยอาจจำเป็นต้อง "ย้ายสนามแข่งขัน" สู่พื้นที่ใหม่ที่ไทยมีศักยภาพสูงกว่าเดิม ผ่าน 4 แนวทางหลัก คือ

1. เปลี่ยนจาก Mass Exporter สู่ Value Exporter โดยการขายข้าวจำนวนมากในราคาถูกอาจไม่ใช่จุดแข็งของไทยอีกต่อไป แต่การพัฒนา "ข้าวคุณภาพเฉพาะทาง" เช่น ข้าว GI ข้าวอินทรีย์ ข้าวฟังก์ชันนัล และการสร้างเรื่องราวของ แบรนด์ จะทำให้ข้าวไทยมีมูลค่าเกินกว่าแค่สินค้าโภคภัณฑ์หรือ Commodity ซึ่งอาจจะเป็นทางรอดในตลาดที่แข่งขันด้วยคุณค่าไม่ใช่ต้นทุน

2. มุ่งไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ผู้ส่งออกไทยควรลดการพึ่งพาตลาดดั้งเดิม เช่น สหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้า และหันไปยังตลาดที่ยังไม่มีผู้เล่นหลัก เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และประเทศเกิดใหม่ในเอเชียกลาง (เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน) ซึ่งมีความต้องการบริโภคสูงแต่ขาดโครงสร้างการผลิตข้าวในประเทศ

3. เพิ่มผลผลิตต่อไร่ผ่านการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว ผู้ประกอบการควรร่วมมือกับภาคเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาและสนับสนุนสายพันธุ์ข้าวที่มีผลผลิตสูง ทนแล้ง ทนน้ำเค็ม หรือใช้ระยะเวลาปลูกสั้น เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยการผลิตและเพิ่มปริมาณวัตถุดิบเพื่อการส่งออก พันธุ์ข้าวเฉพาะทางที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ยังสามารถตอบสนองดีมานด์เฉพาะของตลาด เช่น ข้าวหอมตะวันออกกลาง หรือข้าวนึ่งในแอฟริกา

4. ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งในด้านการตลาดและการผลิต โดยการเจรจาการค้าในเวทีระหว่างประเทศ เช่น FTA หรือข้อตกลงด้านความมั่นคงอาหาร ควรมีเป้าหมายเปิดตลาดใหม่ให้ข้าวไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคุณภาพสูง ขณะเดียวกัน รัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในด้านวิจัยสายพันธุ์ข้าว ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และสนับสนุนงบ R&D แก่เอกชน เพื่อเร่งพัฒนาความสามารถเชิงแข่งขันในระยะยาว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ