ผลพวงคนละครึ่งพลัส! ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม พ.ย.ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 89.1

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 17, 2025 10:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.68 อยู่ที่ระดับ 89.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 87.3 ในเดือนต.ค.68

ทั้งนี้ การปรับขึ้นของดัชนีฯ ในเดือนพ.ย.นี้ เป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย อาทิ โครงการคนละครึ่ง พลัส, เที่ยวดีมีคืน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และส่งผลดีต่อการบริโภคสินค้าอาหาร-เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การเข้าสู่ช่วง High Season ยังส่งผลเชิงบวกต่อการบริโภคสินค้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตสินค้า เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นสำหรับการจำหน่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี และก่อนวันหยุดยาวในเดือนธ.ค.

ในส่วนของภาคการค้า การเจรจาการค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกไทย อาทิ การค้าข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) กับจีน (ปริมาณ 5 แสนตัน) และสิงคโปร์ (ปริมาณ 1 แสนตัน) มีส่วนช่วยขยายตลาดส่งออกให้เกษตรกร ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มรายได้และกำลังซื้อในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 (ณ 1 ต.ค.68 - 21 พ.ย.68) อยู่ที่ 24.18% จากเป้าหมาย 33% ในไตรมาส 1 ยังช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และสนับสนุนการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

อย่างไรก็ดี ในเดือนพ.ย. ยังมีปัจจัยลบหลายประการที่กดดันภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ สถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรมและบ้านเรือนเป็นวงกว้าง ก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ในช่วงเดือน ธ.ค.68 และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องในปี 2569 ประมาณ 90,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน การระงับข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาชั่วคราว ยังทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อออกไป และกระทบต่อการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ก็เป็นแรงกดดันสำคัญ โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 พบว่าการนำเข้า เพิ่มขึ้น +16.3% (YoY) จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น +8.68% (MoM) จากเดือนก่อน โดยเฉพาะสินค้าแผงวงจรไฟฟ้า (+28.69% YoY) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (+14.33% YoY) และเหล็ก (+8.23% YoY) ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศอย่างชัดเจน

นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อยู่ที่ -5.77% YTD (เทียบอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 ม.ค. กับ 26 พ.ย.68) ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อรายได้ และความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 94.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 93.5 ในเดือนต.ค.68 โดยเป็นผลมาจากหลายปัจจัยเชิงบวก ได้แก่ มติของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการปรับลดค่าไฟฟ้า สำหรับงวดเดือนม.ค.-เม.ย.69 ลงเหลือ 3.88 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าครองชีพด้านราคาพลังงาน รวมทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มในเดือนม.ค.69 จะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในช่วงต้นปีให้ขยายตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากหลายปัจจัยดังกล่าว แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญ เนื่องจากความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ยังคงต้องได้รับการเร่งฟื้นฟูและเยียวยา เพื่อให้พื้นที่และกิจกรรมเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อีกทั้งการชะลอการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับไทย อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า

สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ มีดังนี้

1. เสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยา ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ อาทิ เร่งให้บริษัทประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว กองทุนซ่อมแซมเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น

2. เสนอให้ภาครัฐยกระดับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการบริหารจัดการน้ำให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วมเชิงระบบ พัฒนาคลองระบายน้ำ ควบคู่การพัฒนาเทคโนโลยีพยากรณ์ฝน และระบบเตือนภัยล่วงหน้า พัฒนาระบบฐานข้อมูลประชากร และโครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติ รวมถึงทบทวนผังเมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและรับมือภัยพิบัติในระยะยาว

3. เสนอให้ภาครัฐพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดโดยตรง ระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงาน (Direct PPA) ไปสู่ยังภาคอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรม Data center เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านพลังงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ