นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมค่าเงินบาทนับตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบัน แข็งค่าแล้ว 9.4% นำภูมิภาค รองจากมาเลเซีย และแข็งค่าค่อนข้างมากในช่วงเดือนธ.ค.ที่แข็งค่าขึ้น 4.2% ไม่สะท้อนข้อมูลจริงของเศรษฐกิจ ทำให้ ธปท.ต้องหาสาเหตุและปัจจัย โดยส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐาน คือ ดอลลาร์อ่อนค่า และเงินไหลเข้า และกระแสเงินทุน (Flow) ขายดอลลาร์ ซื้อเงินบาท ทำให้เงินบาทแข็งค่า
ล่าสุด ธปท.ได้มีการลงนามประกาศเรื่องรายงานธุรกรรมนำเงินเข้าประเทศ หรือเรื่องการซักซ้อมวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้าเพื่อให้สามารถตรวจสอบเอกสารการนำเงินเข้าประเทศ เพื่อให้เห็นชัดว่าเงินเข้ามาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อะไร
ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล (Non-Resident) ในประเทศ โดยกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธุรกรรมตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ซึ่งธุรกรรมปกติ เช่น คนทำงานต่างประเทศโอนเงินกลับ หรือการค้าขายที่มีเอกสารชัดเจน จะไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบตามมาตรฐานสากล โดยรายงานทุกธุรกรรมเป็นรายธุรกรรมในวันทำธุรกรรม (trade date) หรือไม่เกินวันครบกำหนดชำระเงิน (settlement date)
ตั้งแต่วิกฤตปี 40 แบงก์ชาติให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเงินทุนขาออกเป็นหลัก เพราะกังวลเรื่องเงินไหลออก แต่ในบริบทปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งจากเงินทุนไหลเข้า ดังนั้น จำเป็นต้องปรับมาดูขาเข้ามากขึ้น โดยมีผลตั้งแต่ 29 ธ.ค.68 เป็นต้นไป
"หากดูเงินทุนที่มีผลต่อค่าเงิน พบว่า การนำเงินลงทุนในการซื้อหุ้น และตราสารหนี้ เป็นจุดไม่เห็นสัญญาณการเก็งกำไรในระยะสั้น แต่เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่ง ธปท.ไม่สามารถใส่มาตรการภาษีได้ เนื่องจากจะกระทบต่อภาพรวมตลาดได้... ภายใต้เกณฑ์ใหม่ จะขอให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารประกอบการนำเงินเข้า ซึ่งต้องมีหลักฐานแสดงที่มาของเงินอย่างชัดเจน ซึ่งหากพบการนำเงินเข้ามาในปริมาณสูง ถึงระดับที่มีนัยสำคัญ ธนาคารจะต้องตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด เพื่อยืนยันแหล่งที่มาของเงิน และวัตถุประสงค์ในการนำเงินเข้ามาใช้ในประเทศ" นายวิทัย กล่าว- คาดกลางม.ค.69 เริ่มใช้มาตรการกำกับร้านทองออนไลน์
นอกจากนี้ ธปท.มีความสงสัยในเรื่องของ flow ทองคำ แม้ว่าในช่วง 3-4 เดือนมีการตรวจสอบไม่พบว่าเกี่ยวข้อง เพราะไทยเป็นประเทศนำเข้าทองคำสุทธิ แต่หลังจากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกใหม่ พบว่า แรงกดดันสำคัญมาจากการขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันเป็นเงินบาท เนื่องจากผู้ลงทุนขายทองผ่านแอปฯ ร้านทองจะต้องนำทองไปขายต่อในตลาดต่างประเทศ เพื่อปิดความเสี่ยง ทำให้ได้รับเงินดอลลาร์ จากนั้นจึงนำดอลลาร์มาขายเพื่อซื้อเงินบาท ส่งผลให้เกิดแรงขายดอลลาร์จำนวนมาก และทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว โดยจุดนี้ไม่มีหน่วยงานไหนควบคุมดูแล
"หากดูในช่วงเงินบาทแข็งค่าจาก 31.80 บาท/ดอลลาร์ ลงมาเหลือ 31.40 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงวันที่ 11-15 ธ.ค.68 หากนับธุรกรรมทุกประเภทในการขายเงินดอลลาร์ พบว่า 45% มาจากแรงเทขายจากธุรกรรมทองคำ และบางช่วงเห็นสูงถึง 62% ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าใหญ่มาก และใหญ่กว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้น จึงเป็นปัจจัยให้บาทแข็งค่าชัดเจน โดยเฉพาะธุรกรรมซื้อขายทองคำบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่มีมูลค่าหลัก 100-1,000 ล้านบาท และซื้อขายบ่อย ๆ ถี่ ๆ ไม่เกี่ยวกับซื้อขายร้านทองตู้แดง ผู้ซื้อเก็บสะสมรายย่อย" นายวิทัย ระบุดังนั้น ธปท. จึงขออำนาจกระทรวงการคลัง ในการแก้ไขประกาศกระทรวงฯ เพื่อให้ ธปท.มีอำนาจในการตรวจสอบธุรกรรมทองคำ เนื่องจากเป็นธุรกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ และยังเห็นชัดว่าเป็นแรงกดดันค่าเงินบาท สะท้อนผ่านตัวเลขธุรกรรมเทรดทองคำออนไลน์สัดส่วนถึง 40-50% โดยเฉพาะในเดือนส.ค. ที่สูงถึง 60% ของธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ทั้งหมด โดยประกาศดังกล่าว คาดว่าจะออกมาภายในกลางเดือนม.ค.69
นายวิทัย ยืนยันว่า การเพิ่มอำนาจให้ ธปท.เข้ามาดูแลในส่วนนี้ จะไม่กระทบต่อผู้ซื้อขายทองคำรายย่อย หรือร้านทองตู้แดง แต่จะเข้าไปดูธุรกรรมในส่วนของธุรกรรมที่มีการซื้อขายบ่อย ๆ และวันละหลายรอบ ดังนั้น มองว่าผู้ประกอบการ 15 ราย อาจจะจำเป็นต้องปรับตัว
"เราอยู่ระหว่างการเฮียริ่งประกาศกระทรวงการคลัง คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์ น่าจะแล้วเสร็จ และประกาศได้ในกลางเดือนมกราคม 69 โดยเราจะมีอำนาจในการกำกับข้อมูล เช่น ซื้อขายทองในรูปเงินบาทที่มีมูลค่าสูงบนแอปฯ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินบาท เพราะธุรกรรมผ่านออนไลน์ สัดส่วนสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับซื้อขายผ่านร้าน Physical แค่ 15-20% ซึ่งเราไม่ได้กำกับธุรกิจผู้ค้าทองคำ อย่างไรก็ดี มองว่าในที่สุด จะต้องมีคนกำกับธุรกิจผู้ค้าร้านทอง เพราะมีธุรกรรมสูงมาก และเข้าใจว่าไม่มีประเทศไหนสูงเท่าเรา" นายวิทัย ระบุ