ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนนั้น บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการพุ่งขึ้นดังกล่าวจะมีความต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยทางการเมืองระหว่างภูมิภาค
เมื่อวันอาทิตย์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนปิดเหนือ 125 ดอลลาร์/บาร์เรล
ดร.กิยาส ก็อคเคนท์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยของเนชันแนล แบงก์ ออฟ อาบู ดาบี (NBAD) กล่าวว่าการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันมีแนวโน้มต่อเนื่อง
“ปัญหาด้านอุปทานและความเสี่ยงทางการเมืองที่รุนแรงเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น"
ความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตกและอิหร่านเกี่ยวกับแผนการนิวเคลียร์ของอิหร่านนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในปัจจุบัน ขณะที่สำนักข่าว Fars ของอิหร่านรายงานวานนี้ว่าอิหร่านปฏิเสธที่จะส่งน้ำมัน 500,000 บาร์เรลให้แก่กรีซ ซึ่งส่งสัญญาณการตอบโต้ต่อการตัดสินใจของสหภาพยุโรป (อียู) ในการยุติการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ แต่สำนักข่าวกึ่งทางการอย่าง Mehr ได้ปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว โดยอ้างคำกล่าวของนายปิรูซ โมซาวี กรรมการผู้จัดการบริษัทเนชันแนล อิรานเนียน ออยล์ เทอร์มินอลส์ โค
นายก็อคเคนท์กล่าวว่า สำหรับกลุ่มประเทศในอ่าวอาหรับ ผลของราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นยังมีความไม่ชัดเจนอยู่มากในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศดังกล่าวจะมีรายได้ของประแทศเพิ่มขึ้น แต่เมื่อถึงระดับหนึ่ง ผลกระทบเชิงลบก็อาจจะเกิดขึ้น
“ไม่มีระดับราคาเฉพาะเจาะจงที่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัญญาณอันตราย แต่ต้องตระหนักว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจจะส่งผลจากกลุ่มประเทศผู้บริโภคมาสู่กลุ่มผู้ส่งออกได้ ยิ่งราคาสูงขึ้นมากเท่าใด ผลกระทบต่อกลุ่มประเทศผู้นำเข้าก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น" นายก็อคเคนท์กล่าวกับซินหัว