กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนามคาดว่า เวียดนามอาจดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ 2.63 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 36.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รายงานของกระทรวงระบุว่า จากเม็ดเงินดังกล่าว จำนวน 2.26 พันล้านดอลลาร์เป็นการลงทุนในโครงการใหม่ที่ได้รับใบอนุญาต 120 โครงการ ลดลง 22.8% จากปี 2554 ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 368 ล้านดอลลาร์เป็นการขยายโครงการเดิมจำนวน 29 โครงการ
ภาคอสังหาริมทรัพย์สามารถดึงดูดเม็ดเงิน FDI ได้สูงสุดกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นสัดส่วน 45.5% ของเม็ดเงิน FDI ทั้งหมด) ตามมาด้วยอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิตที่ 1.17 พันล้านดอลลาร์ (44.6%) และอุตสาหกรรมขนส่งและคลังสินค้าที่ 180 ล้านดอลลาร์ (6.8%)
ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในบรรดา 26 ประเทศและดินแดนที่ลงทุนในเวียดนามในไตรมาสแรกปีนี้ โดยมีเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหม่และขยายโครงการเดิมทั้งสิ้น 2.3 พันล้านดอลลาร์ (88.8%) รองลงมาคือ เนเธอร์แลนด์ 46.1 ล้านดอลลาร์ (1.7%) และไต้หวัน 42.9 ล้านดอลลาร์ (1.6%)
ในช่วง 3 เดือนแรกดังกล่าว การส่งออก (ซึ่งรวมไปถึงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) ของโครงการ FDI คาดว่า จะสร้างรายได้ให้กับเวียดนาม 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 43.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี คิดเป็นสัดส่วน 63.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ 1.303 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30.3% และ 52.6% ตามลำดับ ส่วนในภาพรวม ภาค FDI ของเวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1.38 พันล้านดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน