"ดร.โกร่ง"แนะไทยก้าวข้ามระบบอุตฯพึ่งพาแรงงาน-เร่งพัฒนาระบบขนส่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 25, 2012 13:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและการสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง"ทิศทางเศรษฐกิจไทย"ว่า ประเทศไทยในช่วงนับจากนี้ไปจะต้องเตรียมพร้อมใน 2 เรื่อง คือ 1.การก้าวไปเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้ทุนมากขึ้น ใช้เครื่องจักรมากขึ้น และใช้ความรู้จากข้อมูลข่าวสารมากขึ้น แต่ต้องใช้แรงงานที่น้อยลง 2.ค่าจ้างแรงงานที่ต้องเพิ่มขึ้น จากที่แนวโน้มการเปิดตลาดและการทำข้อตกลงเสรีทางการค้าที่ไทยทำไว้กับประเทศต่างๆ จะมีมากขึ้น จึงทำให้รัฐบาลไม่สามารถโอบอุ้มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากและราคาถูกได้อีกต่อไป

"การจะหวังให้รัฐบาลดุ้มอุตสาหกรรมอัสดงคตที่มีแรงงานมาก ราคาถูกคงจะไม่ได้แล้ว ซึ่งค่าแรงจะต้องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ เราต้องเผชิญแน่นอน ทั้งเรื่องค่าแรง การขาดแคลนแรงงานจากที่แรงงานต่างชาติจะหดหายไปเมื่อประเทศของเขามีการพัฒนามากขึ้น" นายวีรพงษ์ กล่าวในงาน "60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท."

นายวีรพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันหัวรถจักรเศรษฐกิจของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากเดิมที่เป็นสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป(EU) แต่ขณะนี้ได้กลายมาเป็นจีน, อินเดีย, บราซิล และรัสเซียแทน ซึ่งประเทศไทยและประเทศในอาเซียนจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงหัวรถจักรเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น เนื่องจากไทยอยู่ใกล้กับทั้งจีน และอินเดีย นอกจากนี้ไทยเองยังจะได้โอกาสมากสุดจากที่พม่าเปิดประเทศและรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี หลังจากที่พม่าเปิดประเทศแล้วจะทำให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านต่างๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้แรงงานพม่าที่กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในไทย หันกลับเข้าไปทำงานในประเทศตัวเองมากขึ้น ดังนั้นการที่อุตสาหกรรมไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมากจึงเป็นสิ่งที่ต้องคิด และควรปรับเปลี่ยนมากเป็นการใช้แรงงานคุณภาพสูงแทน

"การที่เรายังอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานนั้น เราควรจะต้องเลื่อนฐานะมาเป็นแรงงานคุณภาพสูงมากขึ้น เพราะฉะนั้นภาคธุรกิจของเราต้องเตรียมปรับตัวจากการที่เป็นอุตสาหกรรมใช้แรงงานมาก และการหวังเพียงแรงงานราคาถูกจากพม่า ลาว กัมพูชา" นายวีรพงษ์ ระบุ

ประธาน กยอ.กล่าวว่า หลังจากเกิดวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ทำให้ฐานะของประเทศไทยพลิกผันจากหน้ามือมาเป็นหลังมือ โดยเฉพาะจากเดิมที่มีการใช้จ่ายลงทุนมากกว่าการออม แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามียอดการออมมากกว่าการใช้จ่ายลงทุน โดยมียอดการออมถึง 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ประกอบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอีกราว 1.8 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้การส่งออกที่มากกว่าการนำเข้ายังมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และฉุดให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่ำกว่าศักยภาพจริงที่มีอยู่ ทำให้หลายประเทศในอาเซียนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แซงหน้าไทยไปแล้ว

"ที่ผ่านมาเราออมเงินกันมากจากผลพวงของวิกฤติต้มยำกุ้ง เพราะฉะนั้นเรื่องเงินไม่มีปัญหา แต่เรื่องวินัยการเงิน การคลัง และกรอบการเงินการคลังจะต้องรักษาให้เข้มแข็ง...ผมบอกรัฐบาลว่าอย่ากังวล การที่เรามีมากไปกลับเป็นปัญหาว่าเราจะใช้เงินให้ทันกับเงินออมได้อย่างไรมากกว่า" นายวีรพงษ์ กล่าว

พร้อมกันนี้ มองว่าจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤติอุทกภัยในปี 54 นั้นทำให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในไทยทั้งหมด ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีระบบบริหารจัดการน้ำของทั้งประเทศ การพัฒนาลุ่มน้ำ และการสร้างเขื่อนที่แม้จะต้องยอมขัดใจกับกลุ่ม NGOs เพราะหากไม่ดำเนินการอาจจะเกิดความเสียหายมากขึ้นในอนาคต

นอกจากระบบบริหารจัดการน้ำแล้ว ประเทศไทยยังต้องปรับปรุงกับระบบการขนส่งทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และทางราง โดยในส่วนของทางอากาศนั้น จะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการลดความแออัดของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในระหว่างที่ยังก่อสร้างเฟส 2 ไม่แล้วเสร็จ ซึ่งต้องไปใช้ประโยชน์จากท่าอากาศยานดอนเมืองให้มากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงการเชื่อมโยงในระบบแอร์พอร์ตลิงค์ให้ไปถึงยังสนามบินดอนเมืองได้ด้วย

ส่วนทางน้ำนั้น จะต้องขยายท่าเรือน้ำลึกที่ปัจจุบันถือว่ารองรับเต็มที่แล้วทั้งท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด รวมทั้งการขยายนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่โดยรอบท่าเรือเพิ่มเติม ส่วนการขนส่งระบบรางนั้น มองว่าประเทศไทยมีความล้าหลังมาก ซึ่งเห็นว่าความจำเป็นที่ต้องมีระบบรถไฟรางคู่แล้ว ยังจำเป็นต้องมีรถไฟความเร็วสูงด้วย โดยเริ่มดำเนินการลงทุนก่อสร้างในระยะทางที่มีความเป็นไปได้ก่อนโดยไม่จำเป็นต้องรอก่อสร้างในคราวเดียวกันทั้งเส้นทาง เช่น สายเหนือ จากแผนเดิมกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ก็ลงมือสร้างกรุงเทพฯ - พิษณุโลกก่อน, สายตะวันออก จากแผนเดิมกรุงเทพฯ-ระยอง ก็ลงมือสร้างในส่วนของกรุงเทพฯ-ชลบุรีให้ได้ก่อน หรือแม้แต่กรุงเทพฯ-มาเลเซีย ก็ลงมือสร้างในส่วนของกรุงเทพฯ-หัวหิน ให้ได้ก่อน เป็นต้น

พร้อมกล่าวในตอนท้ายว่า สิ่งที่ตนได้พูดมานั้นเคยเสนอนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความเห็นด้วยเกือบทั้งหมด และมองว่าหากสิ่งที่ได้เสนอไปในครั้งนี้เป็นจริงได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว

"ผมเสนอท่านนายกฯไปแล้ว ท่านเอาด้วยเกือบหมด ท่านบอกให้ผมฝันไป เพราะถ้ารัฐบาลทำได้อย่างน้อย 50% ที่ผมฝัน ผมก็พอใจแล้ว ผมจะฝันไปเรื่อยๆ และผลักดันไปเรื่อยๆ ถ้าได้ 50-60% ในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ผมก็ถือว่าผมได้ทำงานชดใช้ประเทศชาติแล้ว" ประธานกยอ. กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ