ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม World Economic Forum on East Asia (WEF) ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.- 1 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้นำจากนานาประเทศได้ร่วมกันกำหนดอนาคตของภูมิภาค ยกระดับการบริหารจัดการความเสี่ยง และกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวอย่างยั่งยืนและเท่าเทียมกัน
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ได้จัดทำพิมพ์เขียวเพื่อจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ซึ่งเป็นการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวและเป็นฐานการผลิตร่วมภายในปี 2558
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ชาติสมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องประสานความร่วมมือกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภูมิภาค ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนการเติบโตในด้านต่างๆ อาทิ การคมนาคมขนส่ง พลังงาน การท่องเที่ยว บริการด้านการเงิน และเกษตรกรรม เป็นต้น
ขณะเดียวกันผู้มีบทบาทสำคัญทั้งในภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันพัฒนากลไกการตอบสนองต่อความเสี่ยงต่างๆ อาทิ ภัยธรรมชาติ ช่องว่างของรายได้ที่กว้างขึ้น ไปจนถึงการขาดแคลนทรัพยากร เป็นต้น โดยเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นทั่วภูมิภาคเมื่อปีที่แล้วนั้น แสดงให้เห็นว่า อาเซียนยังมีความสามารถไม่มากนักในเรื่องการรับมือกับภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้การผลิตและซัพพลายเชนทั่วภูมิภาคตกอยู่ในภาวะชะงักงัน และทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคมขยายตัวขึ้น
การประชุม World Economic Forum on East Asia ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการประสานความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ 10 ชาติสมาชิกอาเซียนซึ่งประกอบด้วยบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม มีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน และมีจีดีพีรวมกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ