บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า แม้อัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.55 จะขยับสูงขึ้น แต่แนวโน้มเงินเฟ้อที่ไม่น่าจะเร่งตัวขึ้นอย่างน่ากังวลในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งทำให้มีผลกระทบที่ค่อนข้างจำกัดต่อตลาดการเงินและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ในขณะนี้
สำหรับตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยในช่วงที่เหลือของปี 55 นั้น คงต้องจับตาปัจจัยด้านอุปทานของตลาดน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อาหารในตลาดโลกที่ส่งผลกระทบให้ราคาเริ่มขยับสูงขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นครึ่งหลังของปี 55 ทั้งนี้แม้ราคาพลังงานในประเทศของไทยจะไม่ขยับตามทิศทางในตลาดโลกในอัตราที่เท่ากัน แต่ต้องยอมรับว่านอกจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกจะมีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศแล้ว ยังมีผลเพิ่มแรงกดดันต่อเนื่องไปที่ค่าไฟฟ้า Ft รอบถัดด้วยเช่นกัน ในขณะที่ราคาโภคภัณฑ์อาหารที่แปรปรวนไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ ก็อาจเพิ่มภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในบางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคายังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แนวทางการบริหารจัดการทิศทางราคาพลังงานในประเทศของรัฐบาล ทั้งในส่วนที่ผ่อนปรนเงื่อนเวลาการปรับโครงสร้างราคาพลังงานหลายประเภท และการต่ออายุการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้กลไกการส่งผ่านต้นทุนด้านพลังงานไม่สร้างแรงกดดันต่อทิศทางราคาสินค้าของผู้บริโภคมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโร และความกังวลต่อทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ยังคงกดดันความเคลื่อนไหวของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันไม่ให้มีลักษณะการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
ดังนั้น แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะยังเชื่อว่าค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี 55 จะสูงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก แต่ความกังวลต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงมาตรการบรรเทาค่าครองชีพของรัฐบาล และการตรึงราคาสินค้าของผู้ประกอบการที่กินเวลาคาบเกี่ยวไปถึงช่วงไตรมาสที่ 3/55 น่าจะเป็นปัจจัยที่ผ่อนแรงกดดันเงินเฟ้อไปได้บางส่วน และอาจทำให้มีความเป็นไปได้ที่ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อในปี 55 จะลดต่ำลงกว่า 3.5% ซึ่งเป็นประมาณการกรณีพื้นฐานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย