นักวิเคราะห์หลายรายในสหรัฐมองว่า แม้ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีในระหว่างวันเมื่อวานนี้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง โดยนักเศรษฐศาสตร์หลายรายมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
เดวิด คอสติน หัวหน้านักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากโบรกเกอร์แห่งหนึ่งในวอลล์สตรีท ได้แนะนำให้ลูกค้าย้ายฐานการลงทุนออกจากตลาดหุ้น เพราะคาดว่าสภาคองเกรสสหรัฐจะไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการรับมือกับภาวะหน้าผาด้านการคลัง หรือ fiscal cliff ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐจะเผชิญกับภาวะดังกล่าวในระดับที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ การที่มาตรการลดภาษีที่จัดเก็บจากเงินปันผล, ภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น และภาษีจ้างงาน มีแนวโน้มจะหมดอายุลงในช่วงปลายปีนี้ อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอีก จากเดิมที่เศรษฐกิจอ่อนแออยู่แล้วและจำนวนคนว่างงานก็สูงขึ้นด้วย
"เราคาดว่าสภาพคองเกรสจะไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวล และความกังวลในเรื่องนี้ได้ฉุดดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 11% ในช่วง 10 วันทำการที่ผ่านมา" เขากล่าว
เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยอมรับว่า แม้มีสัญญาณบ่งชี้มากมายว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่ประชาชนและธุรกิจจำนวนมากก็ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้มีดัชนีต่างๆซึ่งรวมถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค รายได้ และความมั่งคั่งในภาคครัวเรือน บ่งชี้ถึงทิศทางการฟื้นตัว แต่ภาคเอกชนและภาคครัวเรือนยังคงเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน นอกจากนี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่เพิ่มขึ้นเกินคาด 163,000 ตำแหน่ง แต่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะระดับ 8.3%
การแสดงความคิดเห็นครั้งล่าสุดของเบอร์นันเก้สอดคล้องกับที่เขาได้แสดงมุมมองเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจแห่งสภาคองเกรสเมื่อไม่นานมานี้ว่า วิกฤตหนี้ยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นนั้น ได้ส่งให้ระบบเศรษฐกิจและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างมาก