สำนักข่าวแอนทารา นิวส์ รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนายชาทิบ บาศรี ประธานคณะกรรมการผู้ประสานงานการลงทุน (BKPM) ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียคาดการณ์ว่า จะมีเงินลงทุนไหลเข้าประเทศจากญี่ปุ่น และจะมีการขยายตัวของกลุ่มคนชั้นกลาง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการลงทุนในประเทศในปี 2556
นายชาทิบกล่าวว่า สภาวะแวดล้อมดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากวิกฤตในยุโรป และจะช่วยให้อินโดนีเซียบรรลุเป้าหมายสำหรับการลงทุนที่ตั้งไว้ 390 ล้านล้านรูเปียห์ (ประมาณ 4.1061 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับปี 2556
สำนักข่าวแอนทารา นิวส์ รายงานคำกล่าวของนายชาทิบว่า “ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ยังไม่มีเสถียรภาพ แต่เราจะได้รับประโยชน์จากหลายปัจจัยที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางด้านการลงทุนที่ตั้งไว้สำหรับปี 2556"
ในปัจจุบันนี้ ประเทศที่นำเงินเข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียมากที่สุดคือญี่ปุ่น เนื่องจากค่าเงินที่แข็งตัวในประเทศญี่ปุ่นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในญี่ปุ่นถีบตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
นายชาทิบกล่าวว่า เงื่อนไขดังกล่าวส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องมองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศอื่นๆ ที่ต้องการให้ความร่วมมือในการผลิตสินค้า และหนึ่งในประเทศเหล่านั้นก็คืออินโดนีเซีย
นายชาทิบกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “อินโดนีเซียเป็นประเทศเป้าหมายลำดับที่ 5 ของญี่ปุ่น และมีบริษัทญี่ปุ่นจำนวนหลายบริษัทพิจารณาอินโดนีเซียว่าเป็นตลาดและประเทศที่มีศักยภาพเหมาะสำหรับการลงทุน ซึ่งหากค่าเงินเยนยังแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และบริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัทจะเข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียในปีหน้า"
นอกจากนี้ นายชาทิบระบุว่า จำนวนชนชั้นกลางในอินโดนีเซียขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาวะเช่นนี้ส่งผลให้บริษัทต่างๆ กล้าปล่อยสินค้าออกตลาดมากขึ้น เนื่องจากประชาชนมีกำลังซื้อสูง
ทั้งนี้ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับสถานะความน่าเชื่อถือของอินโดนีเซียให้กลับมาอยู่ในระดับน่าลงทุนเมื่อวันที่ 18 มกราคม ส่งผลให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระดับโลก สำนักข่าวซินหัวรายงาน