"ม.ค.ได้แก้หนี้ได้แล้วประมาณ 3-4 พันล้านบาท จากการติดตามอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว และ ก.พ.นี้คาดว่าจะได้คืนอีก 2 พันล้านบาท หากทำได้ตามแผนเราก็จะฟื้น...ปัญหาหนี้เกิดจากคุณภาพหนี้ไม่สมเหตุสมผลทั้งธุรกิจและการชำระหนี้ หนี้เสียส่วนใหญ่ตั้งสำรอง 38% แต่รายย่อยบางส่วนตั้ง 100% ถ้าแก้หนี้ได้หมื่น เราก็ได้คืนอีก 3.8 พันล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกบัญชีแค่ 3 เดือน แต่จริงๆ มีการค้างชำระเป็นปีก็มี ส่วนนี้ อาจมีการบันทึกกลับได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท" นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ จะต้องมีการจัดทำหน่วยงานสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิ คือ ระบบไอที ที่ต้องวางระบบ core banking เพื่อให้เกิดการทำงานมีประสิทธิภาพ ด้านบุคลากร จะต้องวางเป้าหมายในงานที่ทำให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีพนักงาน 1.7 พันคน จะไม่มีการให้ออก แต่ไม่เพิ่มคน ในส่วนที่เกษียณอายุ อาจมีการรับทดแทน ให้จัดทำแผนงานระยะ 5 ปี จัดโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่ปล่อยสินเชื่อ อาจต้องปรับมาทำในส่วนการปรับโครงสร้างหนี้
สำหรับการปล่อยสินเชื่อ อาจต้องวางหลักเกณฑ์ใหม่ให้ชัดเจนขึ้น การต้องปรับลดวงเงินให้สินเชื่อแก่เอสเอ็มอีรายย่อย เหลือวงเงิน ไม่เกิน 5 ล้านบาท/ราย เพิ่มดอกเบี้ยซึ่งอยู่ระดับต่ำ ที่ 5-6% ไม่เพียงพอรองรับความเสี่ยง เพิ่มเป็นอิงกับดอกเบี้ย MRR หรือเทียบเท่า 8%
นายพิชัย กล่าวว่า หากสามารถทำงานได้ตามแผนที่วางไว้ธนาคารจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น BIS ในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 2% จากสิ้นปี 55 ติดลบ 0.95% โดยจะต้องแก้หนี้ NPL ได้ 1.07 หมื่นล้านบาท ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 2 หมื่นล้านบาท และมั่นใจจะมีผลประกอบการพลิกเป็นกำไรได้ 4 พันล้านบาท จากปี 55 ที่ขาดทุนมากกว่า 6 พันล้านบาท และภายใน 5 ปี ยอดสินเชื่อของธนาคารจะเพิ่มจาก 9.7 หมื่นล้านบาท เป็น 1.5 แสนล้านบาท มีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง
"การควบรวมกิจการขึ้นอยู่กับนโยบาย แต่หากสามารถแก้หนี้เสียได้ ฟื้นฟูกิจการได้ตามแผน ให้กิจการรันต่อไปได้ สามารถสนองนโยบายของรัฐได้ ก็ไม่น่าจะมีการควบรวม" นายพิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังมีกระแสต่างๆของธนาคารเกิดขึ้น ยอมรับว่า ทำให้ผู้ฝากเงินเกิดความตื่นตระหนักบ้าง แต่ยังไม่มีการถอนเงินออก หลังจากได้มีการรับฟังคำชี้แจงต่างๆเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการได้อย่างเข้าใจดี