ศูนย์วิจัยกสิกรฯ มองกนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ย 0.25%ในการประชุม 20 ก.พ.นี้

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 15, 2013 16:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยรอบที่สองของปี 56 ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ มีโอกาสมากขึ้นที่จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% โดยให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่การแข็งค่าของเงินบาทอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งลดโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศ (Carry Trade) อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงสามารถขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ก็มีโอกาสเช่นกันที่ทาง กนง. จะรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจต่อไปอีกระยะ ก่อนจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ คาดว่า กนง. คงจะนำประเด็นเรื่องผลกระทบของค่าเงินต่อระบบเศรษฐกิจมาประกอบการพิจารณา เนื่องจากภาคการส่งออกเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก โดยในปี 55 ที่ผ่านมาสัดส่วนของภาคการส่งออกคาดว่าจะมีขนาดใหญ่ประมาณ 65% ของ GDP ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อทิศทางการส่งออก ผ่านความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะหากเงินบาทมีการแข็งค่าอย่างรวดเร็วเกินไป และแข็งค่าในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้า ก็อาจจะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกของไทย และนำไปสู่ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด

ตั้งแต่ต้นปี 56 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน (วันที่ 14 ก.พ. 56) เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.8% ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสเงินทุนไหลเข้า ทั้งนี้ เป็น เงินทุนไหลเข้าในส่วนของตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ หากพิจารณาส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลไทยกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง อาจดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไร เนื่องจากสามารถที่จะได้รับกำไรทั้งจากดอกเบี้ยที่สูงกว่า รวมทั้งกำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า (Carry Trade)

สำหรับข้อดีจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในประเทศที่ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายดังกล่าวนั้น จะเป็นการช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชน รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน ภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง

แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ยังคงบ่งชี้ถึงพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ตามเครื่องชี้เศรษฐกิจโลกที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งคาดว่ากรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) บางท่านอาจมองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำนั้น อาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินและเศรษฐกิจในระยะยาว โดยอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ติดลบจะกระทบต่อการออมของภาคครัวเรือน และเพิ่มความเสี่ยงด้านปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่ง กนง.ได้แสดงความกังวลไว้ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งก่อนหน้า รวมทั้งอาจก่อให้เกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้

ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะขึ้นอยู่กับมุมมองของเสียงส่วนใหญ่ใน กนง. ว่าจะไปในทิศทางใด ทั้งนี้ หาก กนง.พิจารณาแล้ว เห็นว่า ผลกระทบจากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่มีความเร่งด่วน ก็มีความเป็นไปได้ที่ กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อช่วยประคับประคองการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เป็นไปตามที่คาด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะเดียวกัน ก็อาจพิจารณาถึงความจำเป็นที่ทางการต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น การกำกับดูแลการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อภาคครัวเรือน

ในอีกด้านหนึ่ง หาก กนง.พิจารณาแล้ว เห็นว่า ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินควรเป็นไปเพื่อรักษาเถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่า ประกอบกับ ธปท.ยังคงมีเครื่องมือต่างๆ ในการจัดการค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อขายเงินบาทในตลาดเงิน หรือการผ่อนคลายเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้กระแสเงินทุนไหลออกมีความสมดุลกับกระแสเงินทุนไหลเข้ามากขึ้น ก็อาจลดทอนแรงกดดันในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมครั้งนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า กรณีที่ กนง.มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็น่าที่จะนำมาสู่การขยับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในทิศทางที่สอดคล้องกัน อันอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ได้บางส่วน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ต้องรับรู้ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งสินเชื่อส่วนใหญ่ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในทันที ขณะที่ ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างธนาคารพาณิชย์ และระหว่างธนาคารพาณิชย์กับช่องทางการออมอื่นๆ รวมถึงแนวโน้มสินเชื่อที่ยังเติบโตจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์อาจเผชิญข้อจำกัดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรืออาจทำให้ยังต้องแข่งขันนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษที่อัตราดอกเบี้ยจูงใจ เพื่อรักษาสภาพคล่องและส่วนแบ่งตลาดไว้ นอกจากนี้ ยังต้องจับตาแผนการลงทุนจากภาครัฐมูลค่า 2 ล้านล้านบาทว่าจะทยอยเกิดขึ้นในรูปแบบใดและช่วงเวลาใด เพราะอาจเป็นอีกปัจจัยที่กระทบสภาพคล่องในระบบธนาคารได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ