"พยุงศักดิ์"ยันจัดประชุมส.อ.ท.ตามระเบียบ ลั่นประชุมวง"ธนิต"ไร้ผลทางกม.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 18, 2013 11:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ยืนยันว่า การประชุมสามัญประจำปี 2556 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ ส.อ.ท.จะต้องจัดการประชุมใหญ่ขึ้นในช่วงเดือนมี.ค. โดยวาระการประชุมวันนี้เพื่อแจ้งให้สมาชิกได้ทราบถึงผลการดำเนินงานทั้งปีที่ผ่านมา รวมถึงแนวทางการดำเนินงานของส.อ.ท.หลังจากนี้

ส่วนกรณีที่กลุ่มของนายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ ส.อ.ท.ที่จัดการประชุมสามัญประจำปีในวันและเวลาเดียวกันนั้น นายพยุงศักดิ์ ยืนยันว่า จะไม่มีผลกระทบต่อการประชุมในครั้งนี้ เพราะเป็นการประชุมสามัญประจำปีที่จัดขึ้นในวันนี้เป็นไปโดยชอบธรรม และเป็นไปตามระเบียบของส.อ.ท. แม้ว่าการประชุมของนายธนิต จะมีมติในที่ประชุมออกมาเช่นไรก็จะไม่มีผลทางด้านกฏหมาย

"การจัดประชุมจะต้องเป็นการจัดประชุมรับรองโดยกรรมการสภาอุตฯ ที่จะต้องผ่านวาระต่างๆ ฉะนั้นการได้มีกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้รักษาการประธานสภาอุตฯ เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้อง การจัดประชุมใดๆ ก็ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. หรือตามกฎระเบียบของสภาอุตฯ การที่มีการจัดประชุมต่างๆ จึงไม่ชอบ และมติใดๆ ที่เกิดขึ้นจะเป็นมติที่ไม่มีผลทางกฎหมาย ยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆ ของสภาอุตฯ จะต้องมีมติที่แน่นอน มีการดำเนินงานอย่างโปร่งใส เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนและสังคม" นายพยุงศักดิ์ ระบุ

สำหรับการดำเนินงานของส.อ.ท. จำเป็นจะต้องเน้นเรื่องความโปร่งใส และได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นจึงขอให้กลุ่มของนายธนิต หยุดสร้างความสับสนให้กับสมาชิกและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทนั้น นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะที่ผ่านมาภาคเอกชนได้มีการเสนอต่อรัฐบาลหลายครั้ง ขณะที่โครงการสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ด้านการต่างประเทศ ด้านสารสนเทศ เป็นการตอบโจทย์ที่สำคัญต่ออนาคตการแข่งขันของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มของโลจิสติกส์ที่จะส่งผลให้ อัตราการเติบโตของประเทศหรือ GDP สูงขึ้นถึง 7-8%

ดังนั้นหากโครงการดังกล่าวมีความชัดเจนก็จะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และในภูมิภาค รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมมีการขยายตัวได้เพิ่มขึ้น แต่เอกชนมองว่าควรทำให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐและภาคเอกชนได้จับมือกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการดังกล่าว

"มองว่าโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทมีประโยชน์ สามารถเห็นผลสำเร็จได้ชัดเจนถ้ามีการกำหนดโครงการที่ชัดเจน ก็จะทำให้เกิดการขยายตัวและลดความเหลื่อมล้ำไปในภูมิภาคได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดการขยายตัวต่อภาคธุรกิจ ที่สามารถขยายไปยังประเทศต่างๆ ได้มากขึ้น และมูลค่าสินค้าก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน" นายพยุงศักดิ์กล่าว

พร้อมกันนี้นายพยุงศักดิ์ มองว่า โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ควรเสนอเป็น พ.ร.บ.มากกว่า พ.ร.ก. เนื่องจากการออกเป็น พ.ร.บ.จะทำให้มีเวลาในการศึกษารายละเอียดและข้อมูลได้อย่างรอบคอบ พร้อมเสนอให้ภาคเอกชนได้เข้าร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทด้วย ทั้งนี้ส่วนของงบประมาณการลงทุนนั้นมองว่าควรจะกู้เงินในประเทศแทนการกู้เงินจากต่างประเทศ แต่คงต้องขึ้นกับการตัดสินใจของกระทรวงคลังโดยมีเอกชนเข้าร่วมด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ