พร้อมกันนั้นได้ปรับลดคาดการณ์อัตราขยายตัวของมูลค่าการส่งออกในปีนี้ลงเหลือ 9% จากเดิมคาดไว้ที่ 10.5% เพราะได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังจากปรับสมมติฐานค่าเงินบาทมาที่ 29.45 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมอยู่ที่ 30.70 บาท/ดอลลาร์
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 56 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 5.3% โดยมีช่วงคาดการณ์ 4.8-5.8% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 5% เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการบริโภคภายในประเทศจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนได้รับผลดีจากรายได้ภาคครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้นจากการจ้างงานที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี รวมถึงมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าแรงรายวันขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศ หรือโครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น สำหรับการบริโภคภาครัฐก็ขยายตัวดีตามการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีของรัฐบาลในปี 2556 ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่การลงทุนภายในประเทศจะยังสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะยังคงเร่งตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลดีจากการดำเนินนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากอุทกภัยในปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากมาตรการของรัฐเพื่อการส่งเสริมการลงทุน ในขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในปีนี้จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐและการลงทุนตามแผนการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐวงเงินลงทุนรวม 3.5 แสนล้านบาท
สำหรับอุปสงค์ภายนอกจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกในปีนี้ โดยการส่งออกคาดว่าขยายตัว 9.0% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 8.0-11.0% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากปีก่อน ถึงแม้การส่งออกจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าบ้างก็ตาม
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2556 จะยังอยู่ที่ 3.0% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.5-3.5% ตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ ดุลการค้าจะเกินดุลเล็กน้อยจากปีที่แล้ว เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่เร่งตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่ามูลค่าการส่งออก ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเล็กน้อยที่ประมาณ 0.04% ของ GDP
ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวด้วยว่า ในการประมาณการเศรษฐกิจยังคงจำเป็นต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของค่าเงินบาท ระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเด็นเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา และความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มยูโรโซน รวมถึงภาวะภัยแล้งที่อาจส่งผลต่อภาคเกษตรกรรมและรายได้ประชาชนในชนบท