ทั้งนี้ แม้จะมีความกังวลต่อประเด็นผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงไตรมาส 1/56 แต่จากภาพรวมเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ที่ออกมายังค่อนข้างสอดคล้องกับที่คาด ทำให้ประเมินว่าการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1/56 รวมทั้งจะมีการเพิ่มขึ้นของระดับสินค้าคงคลังตามการเร่งตัวขึ้นของการนำเข้า ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/56 อาจขยายตัวได้ 5.3%
โดยในส่วนของการส่งออกนั้น แม้จะพลิกกลับมาหดตัวลงในเดือนก.พ.56 (ตามจำนวนวันทำการที่น้อยในประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะประเทศจีน) แต่ยังคงมีความเป็นไปได้ที่การส่งออกของไทยทั้งไตรมาสที่ 1/56 จะโตได้ 5.5%
ส่วนช่วงไตรมาสที่ 2/56 มองว่า สภาวะอากาศที่แห้งแล้งน่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในช่วงดังกล่าวต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศการใช้จ่ายของภาคเอกชนน่าจะยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ และดูแลภาวะค่าครองชีพประชาชนของภาครัฐ โดยการทยอยส่งมอบรถตามมาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก อาจช่วยหนุนปริมาณการจำหน่ายเชื้อเพลิงให้ขยายตัวตามตามยอดขายยานยนต์ในประเทศ
ขณะที่การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล อาจช่วยเสริมบรรยากาศการลงทุน และเพิ่มแรงหนุนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเป็นภาพที่สอดรับกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าบางประเทศของไทย ที่อาจเริ่มได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาในช่วงก่อนหน้านี้
แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะคาดว่า โมเมนตัมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2/56 น่าจะมีความต่อเนื่องในหลายภาคส่วน แต่ด้วยปัจจัยเรื่องฐานเปรียบเทียบก็อาจทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีชะลอลงมาที่ 4.3% โดยอัตราการขยายตัวของเครื่องชี้หลายๆ ประเภทน่าจะเริ่มสะท้อนภาพการชะลอตัวกลับสู่อัตราปกติมากขึ้น ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมทั้งปี 56 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกที่มีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปี 55 และเม็ดเงินการใช้จ่ายของภาครัฐที่น่าจะมีความต่อเนื่องตามแผนงบประมาณประจำปี 56 อาจช่วยประคองให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอลงเล็กน้อยมาที่ 4.8% จาก 6.4% ในปี 55 ประเด็นที่ต้องติดตามคือ สถานการณ์การขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่อาจมีความอ่อนไหวในบางช่วงตามทิศทางค่าเงินบาท รวมถึงความชัดเจนของแนวทางลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยเสริมให้โมเมนตัมของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีจังหวะที่มั่นคงมากขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า