ทั้งนี้เป็นผลจากที่ประชาชนให้ความร่วมมือในการประหยัดไฟฟ้า ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตลอดจนนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายใหญ่ ได้ให้ความร่วมมือในการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าเป็นอย่างดี โดยเห็นได้ชัดจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(Peak) ของแต่ละวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลา 14.30 น. มียอดการใช้ไฟฟ้าลดลง
ส่วนการซ่อมแท่นผลิตที่ทรุดตัวลงของแหล่งยาดานา ประเทศพม่า ก็สามารถซ่อมได้เร็วกว่าแผนที่ได้ตั้งไว้ โดย บริษัท โทเทล ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแหล่งก๊าซฯ ได้เริ่มจ่ายก๊าซฯ เข้าสู่ระบบท่อมายังประเทศไทย เมื่อเวลา 18.15 น. ของวันที่ 12 เม.ย. และสามารถจ่ายก๊าซฯ ได้เต็มกำลังการผลิตที่ประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในอีก 30 ชั่วโมงต่อมา หรือประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 13 เม.ย.ส่งผลให้การใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลน้อยกว่าแผนที่ได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าเพียง 2 โรงที่ใช้น้ำมัน จากเดิมที่คาดว่าจะต้องใช้น้ำมันถึง 8 โรง โดยมีการใช้น้ำมันเตา 86 ล้านลิตร ต่ำกว่าแผนที่คาดว่าจะใช้ 92 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซลใช้ 38 ล้านลิตร จากเดิมคาดว่าจะใช้ 50 ล้านลิตร ซึ่งทำให้คาดว่าค่าเอฟทีในงวดถัดไป(พ.ค.-ส.ค.56) จะไม่ปรับเพิ่มสูงขึ้น