ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 75.0 ลดลงจาก 73.9 ในเดือน มี.ค.56 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 76.4 ลดลงจาก 75.5 ในเดือน มี.ค.56 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 101.8 ลดลงจาก 102.9 ในเดือน มี.ค.56
"ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงทุกรายการ และเป็นการปรับตัวลดลงในรอบ 7 เดือน"นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ กล่าว
ปัจจัยบวกที่มีผลต่อค่าดัชนี ได้แก่ ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง, ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 56 เป็นเติบโต 5.1% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 4.9% และคาดว่าปี 57 จะเติบโต 5% จากเดิม 4.8%, กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.75% และเงินบาทแข็งค่าขึ้น
ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ความกังวลเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วที่อาจจะกระทบกับการส่งออกและการท่องเที่ยว รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม, ความกังวลความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์ทางการเมือง, ราคาพืชผลเกษตร เช่น ยางพารา และปาล์มน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำ และความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหนี้สาธารณะของยุโรป
ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่า การบริโภคของประชาชนในปัจจุบันยังมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในและนอกประเทศ ตลอดจนนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน นโยบายรับจำนำข้าว การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ตลอดจนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความกังวลและรอดูผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หลังเกิดวิกฤตการทางการเงินในไซปรัส การแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า ค่าครองชีพทรงตัวในระดับสูง และสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ฯ กล่าวว่า การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากภาครัฐใช้นโยบายการคลังผ่านการใช้งบประมาณ เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่พยุงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้เกิดความผันผวนตามเศรษฐกิจโลก