พร้อมเชื่อว่า จะเกิดการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานให้ดียิ่งขึ้น เพราะผู้ที่เดือดร้อนก็คาดหวังจะเห็นการทำงานร่วมกัน ซึ่งในส่วนของวิธีการนั้น ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงเป็นผู้ที่ดูแล โดยมีเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และ รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท และแม้ว่าในขณะนี้ยังมีบางฝ่ายมองว่า ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่เชื่อว่าแม้วิธีการในการทำงานจะแตกต่างกัน แต่ก็หวังว่าวิธีการที่แตกต่างกันจะนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันได้
"ก็ฝากรองกิตติรัตน์ให้มีการประชุมต่อเนื่องที่จะรับฟังความคิดเห็นและติดตามการแก้ไขปัญหาต่อไป เราเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพ และเข้าใจปัญหาของเอกชนและผู้ส่งออก หวังว่าทุกหน่วยงานจะรับฟังปัญหา และนำข้อคิด ข้อเรียกร้องไปแก้ปัญหาต่อไป" นายกฯ กล่าว
ด้านนพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วงต่อปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่มีผลกระทบให้การส่งออกชะลอตัวทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมีแนวทางการแก้ไข 7 ประการ ได้แก่ 1.พิจารณาผลักดันให้ใช้เงินบาทเป็นเงินสกุลหลักสำหรับการค้าขายในภูมิภาค 2.ให้แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน 3.ให้ผู้ผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศมากขึ้น 4.ให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ขายสินค้าให้กับผู้ส่งออกและเมื่อได้รับเงินตราต่างประเทศแล้วสามารถใช้ชำระค่าสินค้าในประเทศได้โดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท 5.ให้จัดหาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาสินค้าในด้านต่างๆ 6.ให้พิจารณาลดหย่อนภาษีสำหรับการนำอัญมณีและเครื่องประดับที่นำเข้ามาแสดงและซื้อขาย และ 7.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จัดทำข้อมูลเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับเงินสกุลอื่นออกเผยแพร่