รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ AFET ได้หารือแนวทางสนับสนุนต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการด้านสินค้ายางพาราของ AFET โดยได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.) เข้าร่วมประชุมด้วย และที่ประชุมฯ สรุปความเห็นว่า การเข้ามาซื้อขายล่วงหน้าของผู้ส่งออกรายใหญ่ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับยางพารา หากกำหนดวงเงินวางประกันและสำรองการเผื่อการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นรายละ 30 ล้านบาท รวมกันแล้วจะก่อให้เกิดปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอีกโดยเฉลี่ยประมาณ 300-400 สัญญา/วัน หรือคิดเป็น 1 เท่าตัวจากปริมาณการซื้อขายในปัจจุบันที่ระดับ 300 สัญญา/วัน ถือเป็นปริมาณที่มากพอที่จะก่อให้เกิดผลทางบวกทางจิตวิทยาและสร้างความเชื่อมั่นในสภาพคล่องของตลาด AFET และจูงใจให้ผู้เกี่ยวข้องกับสินค้าและนักลงทุนเข้ามาซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายและเป็นแหล่งอ้างอิงราคายางพาราที่สำคัญของโลก
นอกจากนี้ AFET ยังมี ก.ส.ล.เป็นหน่วยงานที่คอยกำกับดูแลคอยตรวจสอบ มีกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องและใช้ความรอบคอบระมัดระวังในการซื้อขายให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำที่จะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.การซื้อสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ.2542
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะที่ดูแลเกี่ยวข้องกับโครงการยกระดับราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะยางพาราพืชเศรษฐกิจสำคัญ ยืนยันว่า ไม่กังวลว่าโครงการยางจะประสบปัญหาเหมือนโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางใช้เงินทำโครงการไม่มาก โดยนับตั้งแต่ได้รับเงินอนุมัติจากรัฐบาลจำนวน 5 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปเพียง 22,000 ล้านบาท และทุกโครงการที่ดำเนินการสามารถตรวจสอบได้ หรือหากโครงการใดไม่มีเอกสารรายละเอียดอย่างชัดเจน หรือผิดเงื่อนไขของโครงการก็จะไม่ได้รับการอนุมัติแน่นอน