อัตราดอกเบี้ยระยะข้ามคืนที่ตลาดอินเตอร์แบงก์เซี่ยงไฮ้ทะยานขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนนี้ ขณะที่ปริมาณเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าเบาบาง โดยดอกเบี้ยพุ่งขึ้น 2.0640% สู่ระดับ 7.66% วานนี้
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นก่อให้เกิดกระแสคาดการณ์ในตลาดว่า จะเกิดการปรับลดลงสัดส่วนกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เพื่อให้สภาพคล่องเคลื่อนตัวอย่างอิสระ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่จำเป็น เนื่องจากอุปทานการเงิน ณ ปัจจุบันมีมากพอที่จะสนับสนุนระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง
โจ เสี่ยวเล่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไชน่า แกแลกซี่ ซีเคียวริตีส์ เปิดเผยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดการเงินของจีนคือ เม็ดเงินระดมทุนจำนวนมากยังคงหมุนเวียนอยู่ในระบบการเงิน แทนที่จะสามารถตีออกมาเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริงได้
นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ จีนแสดงให้เห็นถึงภาพตลาดเงินที่เฟื่องฟูในทิศทางที่สวนทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยอุปทานเงิน (M2) ซึ่งเป็นมาตรวัดในวงกว้าง ขยายตัวที่ราว 16% ต่อปี ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเคลื่อนไหวแค่ราว 9% เท่านั้น
หลิว ยูฮุย นักวิเคราะห์ทางการเงินจากสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า เงินบางส่วนถูกใช้ในการชำระหนี้ ขณะที่โครงการหลายโครงการซึ่งลงทุนผ่านการะดมทุนจากแพจคเกจกระตุ้นเศรษฐกิจที่เปิดตัวเมื่อปี 2551 วงเงิน 4 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) นั้นได้เสร็จสิ้นลงไปหลายโครงการแล้ว แต่ยังไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องกู้เงินเพื่อไปชำระหนี้
ซู ฮงไฉ่ รองผู้อำนวยการกรมสารสนเทศ สังเกตศูนย์แลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีน เปิดเผยว่า เม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลไปสู่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ขาดประสิทธิภาพ ภาคที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน หรือกลายสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายไม่ออกเนื่องจากดีมานด์ภายในประเทศที่ซบเซา
นายโจกล่าวว่าโจ ดังนั้นแม้ตลาดการเงินจะดูเฟื่องฟู แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลาง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่ทะยานขึ้นในตลาดอินเตอร์แบงก์เมื่อไม่นานนี้ ได้รับแรงหนุนจากกระแสเม็ดเงินไหลเข้าที่เบาบางลง จากการควบคุมด้านกฎระเบียบที่เข้มงวด แทนที่จะเกิดจากความต้องการที่แท้จริงในเศรษฐกิจ
ที่ประชุมสภารัฐจีนเมื่อวานนี้ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เป็นประธานในการประชุม ระบุว่า จีนจะดำเนินนโยบายทางการเงินที่รอบคอบต่อไป พร้อมกับคงขนาดอุปทานเงินในระดับที่สมเหตุสมผล
เจิ้ง กัง ผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคารของสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า หัวใจในการแก้ไขปัญหาภาคการเงินจีนนั้นอยู่นอกภาคการเงิน เนื่องจากภาคธนาคารเป็นหน่วยสนับสนุนเศรษฐกิจเพียงหน่วยหนึ่งเท่านั้น
นายเจิ้งกล่าวว่า ควรจะมีการปฏิรูปในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงเพื่อเอื้อให้เกิดการขยายตัวในระดับใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของอุปทานเงิน หากเป็นเช่นนี้ จะสามารถควบคุมความเสี่ยงทางการเงินได้แบบค่อยเป็นค่อยไป สำนักข่าวซินหัวรายงาน