(เพิ่มเติม) กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายตามคาด เล็งลดประมาณการ GDP ปีนี้เหลือโตไม่ถึง 5%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 10, 2013 15:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในการประชุมวันที่ 10 ก.ค.56 มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% โดยมองอัตราดอกเบี้ยยังเหมาะสม แต่พร้อมปรับเปลี่ยนสอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงในทิศทางเดียวกับสำนักอื่นๆ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะโตไม่ถึง 5% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 5.1%

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาร เลขานุการ กนง.แถลงว่า กนง.เห็นว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการส่งออกของเศรษฐกิจเอเชีย ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับดีขึ้นบ้าง จากภาคที่อยู่อาศัยและการจ้างงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรเริ่มทรงตัว ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวดีขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงจากทั้งอุปสงค์ในประเทศและการส่งออก ส่วนหนึ่งเพราะครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นและนโยบายกระตุ้นภาครัฐที่ทยอยหมดลง การส่งออกชะลอลงจากทั้งปัญหาด้านอุปทานภายในประเทศและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ชะลอตัวลงส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนบางส่วนล่าช้าออกไป สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อต่ำลงจากอุปสงค์ภายในประเทศและต้นทุนการผลิตที่ลดลง

กนง.ประเมินว่าอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการพักฐานหลังจากที่เร่งตัวมากในช่วงก่อนหน้าจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ จึงน่าจะกลับมาขยายตัวในระดับปกติในระยะต่อไป เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานในประเทศ เช่น การจ้างงาน และรายได้ของประชาชนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับนโยบายการเงินการคลังที่ยังผ่อนคลาย สะท้อนจากการขยายตัวของสินเชื่อและการขาดดุลการคลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถสนับสนุนการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลกกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวและความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี

นายไพบูลย์ กล่าวว่า หากประเมินเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ถือว่าอยู่ในช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนและทรงตัว สอดคล้องกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงเหลือโต 3.1% แต่ในปีหน้าไอเอ็มเอฟประเมินเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจไทยก็น่าจะดีขึ้นในช่วงหลังจากปีนี้เช่นกันตามการส่งออกที่คาดว่าจะดีขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กนง.ก็ยังมีความระมัดระวังและติดตามระดับหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้นมาสูง แต่ยังเห็นว่าไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อลดภาระหนี้ของประชาชน เพราะสินเชื่อยังขยายตัวได้ แม้ขณะนี้จะไม่ได้เร่งตัวมากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา โดย กนง.มองว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายจากภาครัฐส่วนหนึ่งมีผลทำให้ภาระหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากสินเชื่อเช่าซื้อรถพุ่งสูงถึง 30-40% ในช่วงที่ผ่านมา ย่อมมีผลทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชนลดลง เพราะต้องเจียดรายได้มาชำระหนี้ ซึ่งถือเป็นปกติ ดังนั้น เมื่อภาระหนี้ของประชาชนคลี่คลายลงก็เชื่อว่าการใช้จ่ายในประเทศจะกลับมาสู่ระดับปกติในระยะต่อไป และยืนยันว่ายังไม่เห็นสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้จนผิดปกติ

นอกจากนี้ กนง.ยังได้นำผลของการชะลอการลงทุนภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำภาครัฐมาประกอบการพิจารณา เพื่อปรับลดประมาณการเศรษฐกิจที่จะเปิดเผยในวันที่ 19 ก.ค.นี้

"จริง ๆ แล้ว กนง.มองเห็นการชะลอตัวเศรษฐกิจตั้งแต่การประชุมครั้งก่อน จึงได้ลดดอกเบี้ยลงไปแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ก็เป็นระดับที่ผ่อนคลายอยู่แล้ว หนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ค่อนข้างดี และเชื่อว่าเป็นระดับที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง และมองแนวโน้มข้างหน้ายังเป็นระดับที่เหมาะสม" นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป ขึ้นกับข้อมูลและสถานการณ์ที่ต้องพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์ในประเทศเปลี่ยนแปลง การลงทุนต่าง ๆ ชะลอลงกว่าคาด ก็ต้องพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม รวมทั้งต้องสอดคล้องกับเสถียรภาพทางการเงินและอัตราเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะมีออกมาอีกนั้น กนง.ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจรอบด้านในระยะข้างหน้าจะมองเพียงอุปสงค์อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดูการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งหัวใจสำคัญก็ต้องดู supplied side โครงสร้างการผลิตที่อาจทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไม่มากพอ ต้องดูรวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ผลิตภาพการผลิต และคุณภาพแรงงาน ซึ่งทั้งหมดต้องมองในระยะยาว

"การกระตุ้นด้วยดีมานด์ต้องมีเหตุมีผลในบางช่วงบางจังหวะ โดยเฉพาะในยามที่เกิดความไม่เชื่อมั่นก็ถือว่ามีเหตุผลในการกระตุ้น แต่จะได้ผลในระยะสั้น ขณะเดียวก็จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินให้ภาคเอกชนและรัฐบาลที่จะต้องจัดการในระยะต่อไป"นายไพบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อที่ขยายตัวในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้เห็นว่าเริ่มทรงตัว โดยสถาบันการเงินเริ่มมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อ และเพิ่มความเข้มงวดต่อมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็ยังคงติดตามหนี้สินภาคครัวเรือน ซึ่งประเมินว่าในระยะข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ส่วนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากผลกระทบสถานการณ์การเมืองในอิยิปต์นั้น มองว่าเป็นภาวะชั่วคราว แต่ในระยะยาวเชื่อว่าจะไม่สูงมากนัก เพราะเศรษฐกิตจโลกไม่ได้เติบโตมาก จึงเชื่อว่าไม่น่าจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้นมากในระยะต่อไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การส่งผ่านนโยบายการเงินต้องใช้เวลา และยังต้องขึ้นกับกลไกตลาด เบื้องต้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นก็ปรับลดลงไปแล้ว ส่วนดอกเบี้ยของสถาบันการเงินก็ต้องเป็นไปตามกลไกของธุรกิจ กนง.ไม่ได้ออกคำสั่งให้ต้องปฏิบัติตาม แต่หากสถาบันการเงินเห็นว่ามีความต้องการสินเชื่อมาก และมีข้อกังวลจากสภาพคล่องที่อาจตึงตัวเนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมทั้งการแข่งขันจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ระดมเงินฝากมาก ก็ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจปรับดอกเบี้ยในตลาด อย่าหวังพึ่งนโยบายการเงินมากเกินไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ