(เพิ่มเติม) ดัชนีเชื่อมั่นทองคำเพิ่มขึ้น 2 เดือนติด สะท้อนผู้ค้า-นลท.มองทองเชิงบวก

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 6, 2013 12:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ(Gold Price Sentiment Index) ในเดือนก.ย.56 เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 63.99 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค. 10.64 จุด หรือ 19.94% สะท้อนทัศนคติเชิงบวกของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อราคาทองคำในประเทศเดือนก.ย. โดยเมื่อแยกตามประเภทกลุ่มตัวอย่าง พบว่ากลุ่มผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นสูงกว่ากลุ่มผู้ค้าทองคำ โดยมีปัจจัยที่เชื่อว่าจะกระทบต่อราคาทองคำระหว่างเดือน 50.42% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าค่าเงินบาทจะกระทบต่อราคาทองคำในประเทศและมีประเด็นทิศทางสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการชะลอมาตรการ QE ที่มีการให้น้ำหนักรองลงมา

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในระยะ 3 เดือนสอดคล้องกันยังสะท้อนทัศนคิตในเชิงบวก โดยค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 67.08 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค. 11.34 จุด หรือ 20.34% และมีประเด็นค่าเงินบาท ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการชะลอมาตรการ QE เป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังเช่นกัน ส่วนคำถามว่านักลงทุนจะซื้อทองคำในช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้าหรือไม่พบว่า 32.60% ของกลุ่มตัวอย่างจะซื้อทองคำในช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้า 36.15% คิดว่าจะยังไม่ซื้อทองคำและ 31.25% ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อหรือไม่

ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาจากการชะลอมาตรการ QE โดยมีความกังวลกับการชะลอมาตรการสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯมากขึ้น เนื่องจากจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงินหรือ FOMC ของสหรัฐฯ ในช่วงวันที่ 17-18 เดือนนี้ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะมีการปรับลดขนาดของการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE 3-4 ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งถ้ามีการปรับลดจริงอาจจะทำให้ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากแรงขาย จากความกังวลต่อการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

พร้อมกันนี้มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ อาจจะยังไม่ชะลอมาตรการในการประชุมครั้งนี้แต่อาจจะพิจารณาปรับลดในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปี เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวขึ้นเร็วจนเกินไปทำให้อาจจะเป็นปัญหาตามมาในอนาคตได้

ประกอบกับความวิตกกังวลเรื่องการใช้กำลังตอบโต้ซีเรียก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งด้วย แม้จะผ่อนคลายลงในระยะสั้นจากการที่ประธานาธิบดีโอบามาส่งการตัดสินใจให้สภาคองเกรส โดยยืดระยะเวลาการตัดสินใจไปถึงช่วงวันที่ 9 ก.ย. แต่ยังถือว่าความเสี่ยงจากประเด็นซีเรียยังน่าจะกระทบต่อราคาทองคำในเดือนนี้ โดยเฉพาะผลกระทบผ่านราคาน้ำมันดิบที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถ้าเกิดการปะทะระหว่างสหรัฐฯและซีเรีย

นอกจากนี้ประเด็นค่าเงินบาทยังเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนอย่างมากประกอบกับการไหลออกของเงินทุนในช่วงเดือนส.ค. ที่ผ่านมาทำให้แนวโน้มค่าเงินอาจจะยังมีโอกาสอ่อนค่าต่อ ซึ่งจะกระทบต่อราคาทองคำในประเทศ แต่ส่วนใหญ่ของกลุ่มผู้ค้าทองเชื่อว่าค่าเงินบาทจะเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยากและเตือนให้ระมัดระวังโดยพิจารณาแนวโน้มค่าเงินบาทประกอบการลงทุนด้วยเสมอ

ส่วนเศรษฐกิจยุโรป ในเรื่องของนโยบายดอกเบี้ยและแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินยุโรป ประกอบกับการเลือกตั้งของเยอรมนีทำให้ต้องติดตามภูมิภาคยุโรปมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การซื้อขายเก็งกำไรตลาดทองคำในช่วงนี้ยังมีแรงซื้อขายทำกำไรให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความผันผวนของราคาในเดือนก.ย.ยังมีอยู่ และผู้ค้าให้ความเห็นว่าราคาทองคำในเดือนก.ย.ที่ผ่านมามักจะมีความผันผวนค่อนข้างมากทำให้นักลงทุนต้องให้ความระมัดระวัง โดยแนะนะว่าในระยะนี้ควรเน้นการลงทุนในทองคำระยะสั้น ให้ลงทุนแบบทยอยซื้อและทยอยขายเมื่อมีกำไร และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะปัจจุบันมีประเด็นเสี่ยงที่จะกระทบราคาทองคำค่อนข้างมาก รวมถึงนักลงทุนระยะยาวควรจะทำการป้องกันความเสี่ยง (hedge position) ไว้บ้างเนื่องจากในระยะยาวทองคำยังไม่จบแนวโน้มขาลง

นายภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยบทสรุปความคิดเห็นผู้ค้าทองคำ(Gold Trader Consensus)ที่รวบรวมตัวอย่างจากผู้ค้าส่งทองคำรายใหญ่ และผู้ประกอบกิจการนายหน้าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ จำนวน 11 ตัวอย่าง เชื่อว่าราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเดือนก.ย.โดยรวมน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,300-1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่ากรอบราคาต่ำสุดในเดือนก.ย.น่าจะอยู่ในช่วง 1,300-1,340 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่กรอบสูงสุดน่าจะอยู่ในกรอบ 1,460-1,480 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ(ความบริสุทธิ์ 96.5%) กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าราคาจะเคลื่อนไหวระหว่าง 19,000-23,000 บาท/หนึ่งบาททองคำ และกรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุดกลุ่มตัวอย่างให้น้ำหนักระหว่าง 19,500-20,500 บาท/หนึ่งบาท และมีกรอบการเคลื่อนไหวสูงสุดบริเวณ 22,000-25,500 บาท/หนึ่งบาททองคำ โดยมีประเด็นเรื่องการชะลอมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความผันผวนของค่าเงินบาทเป็นประเด็นสำคัญ นอกจากนี้ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจของยุโรปและประเด็นซีเรียที่เชื่อจะกระทบราคาทองคำเช่นกัน

นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล เลขานุการอนุกรรมส่งเสริมวิชาชีพช่างทำทองรูปพรรณ กล่าวว่า จากข้อมูลวิจัยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ค้าทองคำรายใหญ่พบว่า 67% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าช่างทองมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน ขณะที่ 22% เชื่อว่าจำนวนช่างทองมีความพอเพียงต่อความต้องการ โดยมีเพียง 11% ที่ไม่แน่ใจว่าเพียงพอหรือไม่

ทั้งนี้ ผู้ค้าที่ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ช่างทำทองคำรูปพรรณที่มีขนาดเล็กมีความขาดแคลนมากที่สุด โดยเฉพาะขนาด 1-2 สลึง มากถึง 81.8% โดยจากผลสำรวจพบว่าในช่วงกว่า 4 ปีที่ผ่านมาจำนวนช่างทองมีแนวโน้มลดจำนวนลงกว่า 45% ของจำนวนที่มีอยู่เดิม ซึ่งปัจจัยหลักในการเกิดปัญหามี 3 ประการ ได้แก่ 1.ปัญหาด้านอุปสงค์ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูง 2.ปัญหาด้านข้อจำกัดในวิชาชีพอย่างระยะเวลาในการพัฒนา อัตราค่าแรงเดิม และสุดท้ายปัญหาด้านการทดแทนของเครื่องจักร โดย 89% ของกลุ่มตัวอย่างคิดว่าประเทศไทยควรจัดให้มีการพัฒนาช่างทองอย่างเป็นระบบ นอกจากจะตอบสนองความต้องการทองคำในประเทศ สร้างอาชีพและแรงงานอาชีพแล้ว ยังตอบรับตวามต้องการของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า ลาวและกัมพูชา ที่นิยมทองรูปพรรณของไทยเพื่อตอบรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ