"ยรรยง"เผย ต.ค.54-ต.ค.56 คืนเงินขายข้าวให้ ธ.ก.ส.แล้วเกือบ 1.7 แสนลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 18, 2013 17:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือน ต.ค.54-ต.ค.56 กระทรวงพาณิชย์ได้คืนเงินจากการขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) รวมเป็นเงิน 169,014.76 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจากการขายข้าวสารในสต๊อกที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 54/55 และ ปี 55/56 ทั้งนาปี และนาปรัง มูลค่า 129,602.81 ล้านบาท และเงินจากการขายข้าวสารสต๊อกเก่าตั้งแต่ปี 48/49, ปี 49/50, ปี 51/52, ปี 52/53 และนาปรังปี 49, 51 และ52 มูลค่า 39,411.95 ล้านบาท

ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการขายข้าวดังกล่าวและส่งคืนให้กับ ธ.ก.ส.แล้วนั้น แสดงว่ากระทรวงพาณิชย์สามารถขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่ารัฐบาลระบายในสต๊อกได้น้อย และสามารถคืนเงินได้เพียง 120,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ข้าวที่เหลือในสต๊อกรัฐบาลมีทั้งหมด 14 ล้านตัน โดยมีภาระผูกพันแล้ว 5 ล้านตัน เหลืออีก 9-10 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องสำรองเพื่อความปลอดภัย(เซฟตี้ สต๊อก) อีก 3-4 ล้านตัน เหลือข้าวที่ขายได้อีก 5-6 ล้านตัน เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถคืนเงินจากการขายข้าวในสต๊อกได้เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท หรือใกล้เคียงกับเป้าหมายการคืนเงินที่ 220,000 ล้านบาท

"การเงินคืนจากขายสต๊อกข้าวจนถึงสิ้นปีนี้น่าจะคืนได้เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย 220,000 ล้านบาท แต่ก็ใกล้เคียง ถือว่ารัฐบาลยังคงทำได้ตามแผนอยู่"นายยรรยง กล่าว

สำหรับการขายข้าวให้ประเทศจีนปีละ 1 ล้านตัน เป็นรูปแบบความตกลงที่นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีจีนได้ตกลงกัน ถือว่าผูกมัดยิ่งกว่าการทำบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) โดยเอ็มโอยูเป็นหนังสือแสดงเจตนารมณ์สร้างความสัมพันธ์ ซึ่งหลังจากนี้ฝ่ายปฏิบัติจะเป็นผู้ดำเนินการในขั้นตอนรายละเอียดให้ความตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นจริง

ขณะที่การลงนามเอ็มโอยูระหว่างบริษัท คอฟโก รัฐวิสาหกิจของจีน และเอกชนไทยเพื่อซื้อข้าว 1 ล้านตัน ภายใน 5 ปี หรือปีละ 200,000 ตันนั้น จุดเริ่มต้นก็มาจากรัฐบาล โดยก่อนหน้านี้ราวเดือน ก.ย.56 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปหนานหนิง และได้เจรจากับรัฐบาลจีนจึงเกิดข้อตกลงดังกล่าว แต่ภาคเอกชนกลับออกมาระบุว่าเป็นเอ็มโอยูที่เอกชนดำเนินการ ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ