ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 63.2 ลดลงจาก 65.0, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 66.7 ลดลงจาก 68.2 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 90.3 ลดลงจาก 91.8
โดยปัจจัยลบสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ธ.ค.56 ปรับลดลง คือ การชุมนุมทางการเมือง โดยมองว่าการเมืองไม่มีเสถียรภาพ, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ปรับลด GDP ปี 56 เหลือ 3% จากเดิม 3.7%, เงินบาทอ่อนค่า, ยอดส่งออกเดือน พ.ย.56 ลดลง 4.1% เป็นต้น ส่วนปัจจัยบวกมีเพียงปัจจัยเดียว คือ ราคาน้ำมันดีเซลที่ทรงตัว
"ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนธ.ค.ต่ำสุดในรอบ 2 ปี และเป็นการลดลงต่อเนื่องมา 9 เดือน แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง ที่น่าห่วงคือประเด็นการเมือง เพราะกลุ่มตัวอย่างให้น้ำหนักในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก" นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าว
พร้อมคาดว่า การบริโภคของภาคประชาชนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายไตรมาส 1/57 เป็นอย่างน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงยังไม่มีสัญญาณปรับฟื้นตัวขึ้น และคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะผู้บริโภคมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองไทย ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนค่าครองชีพที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง
"สถานการณ์การเมืองที่ไม่มีความชัดเจน เป็นตัวกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคเป็นขาลง คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เร็วสุดอย่างน้อยต้นไตรมาส 2/57 เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกยังคงซึมตัวต่อเนื่อง" นายธนวรรธน์ กล่าว