เมื่อพิจารณาถึงดัชนีความเชื่อมั่นฯ ต่อสถานการณ์ปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงจาก 22.3 เป็น 19.8 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต(3 เดือนข้างหน้า) ปรับตัวลดลงเช่นกันจาก 34.3 เป็น 31.3 เนื่องจากความยืดเยื้อของความขัดแย้งทางการเมืองมีเหตุการณ์รุนแรงบริเวณการชุมนุม ซึ่งส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกันหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบจากภัยแล้งซึ่งสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตร อีกทั้ง การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนที่ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและลดการบริโภคด้านอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นลง
แม้ว่า เศรษฐกิจโลกจะมีทิศทางการฟื้นตัวโดยเฉพาะยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา แต่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการและนักลงทุน ไม่มั่นใจกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนได้จากค่าดัชนีทุกรายการต่ำกว่าระดับ 50 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ในการใช้จ่ายสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคยังเป็นปกติ โดยสะท้อนจากดัชนี การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในปัจจุบัน มีค่า 57.8 แต่การซื้อสินค้าคงทน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในอนาคต (6 เดือนข้างหน้า) ลดลงอย่างมากมีค่า 13.4 และ 17.6 ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มั่นใจต่อการใช้จ่าย เพราะไม่มั่นใจกับรายได้ในอนาคต กอปรกับราคาผลผลิตภาคการเกษตรปรับลดลงและชาวนาจำนวนมากยังไม่รับเงินจากโครงการจำนำข้าว
ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนคือ ปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้า อุโภคบริโภคและราคาน้ำมัน รวมทั้ง ต้องการให้มีการยุติความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างความสามัคคีของคนในชาติ