นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะโฆษก กนง.กล่าวว่า กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังคงความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ซึ่งยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/57 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีก่อนน่าจะติดลบ เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.57) ต่ำกว่าคาด
และยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/57 เทียบกับไตรมาส 1/57 จะติดลบด้วย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองและปัจจัยต่างๆ ซึ่งขณะนี้การเมืองยังไม่มีความแน่นอนค่อนข้างมาก และต้องรอตัวเลข GDP ไตรมาส 1/57 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศออกมาอย่างเป็นทางการมาประกอบการพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ตาม กนง.ยืนยันว่าภาวะการเงินที่ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 2% ถือว่าผ่อนคลายและเพียงพอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่าย การลงทุนในประเทศ รวมถึงต้นทุนภาคธุรกิจ สภาพคล่อง และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจแต่อย่างใด แม้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยขณะนี้เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าติดลบ แตกต่างกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น เพราะประเทศเหล่านั้นมีปัญหาเศรษฐกิจลึกมากกว่าไทย จึงมีความต้องการให้นโยบายการเงินที่มีความผ่อนคลายเป็นพิเศษ
"ที่ประชุม กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ต่อปี เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/57 จะหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ทั้งปีน่าจะโตต่ำกว่าที่เดิมคาดไว้ 2.7% โดยการประชุม กนง.ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ จะมีการพิจารณาทบทวนตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลงใหม่อีกครั้ง" นายไพบูลย์ กล่าวนายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสไหน คงไม่สามารถระบุได้ และถ้าถามว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยถือว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยังนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนสูงจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่ส่วนหนึ่งก็มีความมั่นใจว่าเศรษฐโลกเริ่มมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกไทยขยายตัวได้ ประกอบกับการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ไม่เลวร้ายลง แต่ในอนาคตก็ยังบอกไม่ได้ว่าความเชื่อมั่นจากนักลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคของประชาชนจะปรับตัวอย่างไร ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการคลี่คลายทางการเมืองเป็นสำคัญ
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระยะต่อไปจะเป็นอย่างไร คงต้องประเมินตามความจำเป็นที่ กนง.ต้องพิจารณาในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก สถานการณ์การเมืองในประเทศจะเป็นบวกหรือลบ และมีผลต่อเศรษฐกิจในประเทศมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง กนง.ต้องประเมินปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ จึงยังบอกไม่ได้ว่ามีความจำเป็นในการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายแค่ไหน
นายไพบูลย์ กล่าวว่า สำหรับ กนง.1 เสียงที่เสนอให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% นั้น เพราะให้เหตุผลว่าต้องการให้เกิดความต่อเนื่องในการให้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าธนาคารพาณิชย์มีปฏิกิริยาสนองตอบด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดลงทั้งเงินกู้และเงินฝากค่อนข้างเร็ว ทำให้ต้นทุนทางการเงินส่งผ่านไปยังธุรกิจภาคเอกชนและประชาชนได้เร็ว