(เพิ่มเติม) คตร.สั่งยกเลิกโครงการซ่อมบำรุงหัวรถจักร-แท็บเล็ต พร้อมทบทวนโครงการงบสูงเกิน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 27, 2014 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีกองทัพบก ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.) แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ที่ยังคงค้างการเบิกจ่ายปีงบประมาณ 2557 จำนวน 8 โครงการ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จากการตรวจสอบใน 8 โครงการ พบว่ามีโครงการย่อยเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ รวมเป็น 10 โครงการ ซึ่งคณะอนุกรรมการตรวจสอบได้สรุปผล และมีมติยกเลิก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบูรณะหัวรถจักรดีเซล วงเงิน 3,300 ล้านบาท ซึ่งมีความเก่าและไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ เพื่อให้นำเงินส่วนนี้ไปซื้อหัวรถจักรใหม่ แต่ให้ปรับลดวงเงินลง และโครงการจัดซื้อแท็ปเล็ตระยะที่ 4 วงเงิน 7,000 ล้านบาท โดยให้คิดแผนงานใหม่ ภายใต้วัตถุประสงค์เดิมขึ้นมาทดแทน

นอกจากนี้ คตร.ยังมีมติให้ทบทวนอีก 4 โครงการ เพราะมีระดับราคากลางที่สูงและทีโออาร์ไม่เหมาะสม ได้แก่ โครงการจัดหาซื้อหัวรถจักร จำนวน 126 คัน วงเงิน 5,000 ล้านบาท และโครงการจัดหารถรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ วงเงิน 6,000 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.), โครงการตรวจสอบคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT)วงเงิน 8,300 ล้านบาท, โครงการเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 10,300 กว่าล้านบาท ซึ่งมี 23 โครงการย่อย เพราะยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่ประหยัด เบื้องต้นยกเลิกไปแล้ว 10 โครงการย่อย ดำเนินการต่อ 9 โครงการย่อย และทบทวนอีก 5 โครงการย่อย

และ โครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ คือ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 วงเงินกว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่ง คตร. มองว่าใช้งบลงทุนสูงเกินไป, โครงการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล วงเงิน 25,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล คตร.มีข้อสงสัยเรื่องของจำนวนครัวเรือนที่จะได้รับการจัดสรรจากเดิม 22 ล้านครัวเรือน เป็น 25 ล้านครัวเรือน พร้อมสั่งให้ กสทช.ดำเนินการทำประชาพิจารณ์ ภายใน 15 วัน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางเดือน ก.ค. เพื่อเสนอให้ คสช.ให้ความเห็นชอบ ก่อนแจกจ่ายให้ประชาชนได้ภายในเดือน ก.ย.

คตร.ยังมีมติตรวจสอบเพิ่มอีก 2 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงินกว่า 12,000 ล้านบาท พบว่ามีความล่าช้าทั้งการส่งมอบพื้นที่และการวางแผนดำเนินการ รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารสวัสดิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร วงเงิน 5,600 ล้านบาท แผนโครงการไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี และวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจน และจำนวนห้องพักยังไม่สอดคล้องกับจำนวน ส.ส. ขณะเดียวกัน คตร.ได้ตรวจสอบเพิ่มเติม โครงการกองทุนเลี้ยงชีพรัฐสภา ที่เงื่อนไขการจ่ายง่ายเกินไป ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้าราชการที่ต้องมีอายุราชการถึง 10 ปี

ส่วนปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคา 80 บาทนั้น ประธาน คตร.กล่าวว่า จะเริ่มขายตั้งแต่ 2 ก.ค.เป็นต้นไป โดยวางจำหน่ายหน้าสำนักงานสลากฯ สนามบินน้ำ ส่วนผู้ค้ารายย่อยขอความร่วมมือให้พิจารณาตามต้นทุนที่เหมาะสม โดยไม่ควรเกิน 90 บาท ส่วนในระยะยาวอาจจะพิจารณาเรื่องของโควต้า เช่น ต้องมีแผงขายเป็นของตนเอง หากพบไม่มีแผงก็จะยกเลิกโควต้าทันที ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ศาลาว่าการจังหวัดแต่ละจังหวัด ซึ่งขณะนี้มีเพียงจังหวัดเชียงรายที่รายงานเข้ามาเพียงจังหวัดเดียว

ด้านข้อกังวลเกี่ยวกับงบประมาณการใช้จ่ายของ คสช.นั้น ประธาน คตร.ปฏิเสธว่า ไม่ได้ใช้งบประมาณถึง 5 พันล้านบาทตามที่เป็นข่าว หลังจากนี้อาจจะมีการแถลงข่าวให้ประชาชนรับทราบต่อไป สอดคล้องกับ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษก คสช.ที่ยินดีจะให้มีการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ คสช. โดยงบที่นำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายกับบุคคลากร เป็นเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง และ คสช. ก็เปรียบเหมือนคณะทำงานที่กลั่นกรอง และอนุมัติงบประมาณ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานนำไปใช้จ่าย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ