ส่วนเศรษฐกิจของยุโรปนั้น ขณะนี้มีหลายคนมองว่าเศรษฐกิจยุโรปอาจเกิดการถดถอยลงเป็นครั้งที่ 3 เพราะเศรษฐกิจประเทศหลักๆ เช่น เยอรมนียังไม่ฟื้นตัวดี ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมของยุโรปอาจจะไม่ขยายตัว จากคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1% ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของไทยที่จะเข้าไปลงทุนหรือไปร่วมทุนกับธุรกิจในยุโรปอย่างในธุรกิจเหล็ก พลังงาน หรือการเงิน
สำหรับค้าโลกในปัจจุบันนั้น นายศุภชัย เห็นว่า การแข่งขันยากมากขึ้น เพราะกฎระเบียบและข้อจำกัดทางการค้าและการลงทุนมีมากขึ้น ทำให้การค้าและการลงทุนแคบลงมาก ซึ่งจากข้อมูลที่ทำการสำรวจร่วมกันระหว่างอังค์ถัด, WTO และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(OECD) พบว่า กฎข้อบังคับการค้า การลงทุนที่ประเทศต่างๆ นำออกมาใช้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 50 พบมาตรการจำกัดการลงทุน และการค้า มีเพียง 3% เท่านั้น ดังนั้น WTO ต้องเข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบกฎ และระเบียบต่างๆ ที่หลายประเทศนำออกมาใช้กีดกัน
"WTO จำเป็นต้องมีเข้าไปกำกับตลาดมากขึ้น ดูแลกฎระเบียบมากขึ้น ถ้าการเจรจารอบโดฮาร์ที่ยาวนานกว่า 10 ปีจบลงได้ รอบหน้า หากมีการเปิดการเจรจา WTO จำเป็นต้องเจรจาประเด็นต่างๆ ใน Singapore Issue เช่น ความโปร่งใสในการจัดซื้อของรัฐ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมดีใจมากที่ได้ยินปลัดกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเขตปลอดคอรัปชัน นอกจากนี้ ยังต้องพูดถึงนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจเป็นสีเขียว ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเสมอภาค ไม่ใช่โตแต่พวกเรา คนอื่นไม่โต หรือโตเป็นรายอุตสาหกรรม หรือโตแต่เฉพาะในเมืองเท่านั้น" นายศุภชัย กล่าวทั้งนี้ นายศุภชัย กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการใน 4 ประเด็น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1.การพัฒนาคน โดยเพิ่มทักษะด้านวิชาชีพ เพราะแรงงานยังมีมาตรฐานต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่ยังด้อยกว่ามาก ทำให้คนไทยไม่พัฒนาเท่าที่ควร รวมถึงต้องยกระดับนักศึกษาอาชีวะให้สูงขึ้น เพื่อดึงดูดให้มีคนเข้ามาเรียนมากๆ โดยต้องยกระดับศักดิ์ศรี รายได้
2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของไทย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในด้านเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่ในด้านภูมิศาสตร์เหมือนอย่างปัจจุบัน เช่น การเปิดด่านตามแนวชายแดน อาจเปิดตลอด 20 ชั่วโมง หรือมีเวลาเปิดด่านให้ยายนานขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจตามแนวชายแดนเติบโตได้มากขึ้น
3.การพัฒนาสถาบันด้านกฎหมาย ที่จะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาลมากขึ้น และ 4.ต้องผลักดันให้อาเซียนสามารถเจรจาจัดทำข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน และคู่เจรจาทั้ง 6 ประเทศ (อาร์เซพ) ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะจะทำให้เศรษฐกิจอาเซียน และอีก 6 ประเทศขยายตัวได้มากขึ้นและเร็วขึ้น