นายกรัฐมนตรี ย้ำในที่ประชุมว่า การขยายความเชื่อมโยงระหว่างเอเชีย-ยุโรปต้องอาศัยภาวะความเป็นผู้นำทางการเมือง ยึดมั่นพันธกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งด้านทรัพยากรและการลงทุน โดยเสนอยุทธศาสตร์การดำเนินการ 3 ด้านหลัก คือ ประการแรก การเพิ่มบทบาทความเป็นหุ้นส่วนกับเอเชีย สร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นหนึ่งเดียว มีการร่วมระดมทุน การร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค เอเชีย การถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์และเทคโนโลยี ซึ่งไทยเองก็มีโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพัฒนาการขนส่งสินค้า บริการและแรงงาน เพื่อเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ รองรับประชาคมอาเซียนและความร่วมมือเอเชีย-ยุโรปในอนาคต พร้อมพัฒนายุทธศาสตร์เส้นทางการค้าใหม่ๆ
ประการที่สอง การบริหารจัดการความเสี่ยง ที่อาจเกิดจากความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค โดยมีการพัฒนากระบวนการยุติธรรมและกฏหมายระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และความมั่นคง เพื่อการพัฒนาและความร่วมมือที่ยั่งยืน
ประการที่สาม การขยายความตกลงการค้าเสรีระหว่างเอเชียและยุโรป เช่นเดียวกับการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก โดยให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้มีการหารือกัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำให้ตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนอาหารและพลังงานในอนาคต จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศในเอเชียและอาเซียน เป็นแหล่งผลิตอาหารและพลังงานที่สำคัญ ดังนั้น ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ คือ เกษตกร ต้องได้รับการดูแล ทั้งรายได้ ราคาสินค้าเกษตร ลดความเหลื่อมล้ำสร้างความมั่นคงในอาชีพ พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัยด้วย