กสอ.หนุนสินเชื่อเพิ่มสภาพคล่อง-ขยายกำลังผลิตชาวสวนยาง 5 จ.ใต้หลังราคาต่ำสุดรอบ 5 ปี

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday February 3, 2015 12:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากวิกฤติราคายางที่ลดลงเหลือเพียง 53.63 บาท/กก.เท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี (2554-2558) และเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ระดับ 64.90 บาท/กก.ทำให้ชาวสวนยางโดยเฉพาะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สงขลา และสตูล เดือดร้อนมากส่งผลให้ชาวสวนยางรวมตัวกันปิดถนนและประท้วงอย่างต่อเนื่อง กสอ.จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว อย่างเร่งด่วนซึ่งมีโครงการส่งเสริมต่างๆ อาทิ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนในการรับซื้อน้ำยางดิบจากเกษตรกรซึ่งจะเป็นวิธีการช่วยลดปริมาณยางที่มีผลผลิตล้นตลาด

โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต หรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตวงเงิน 15,000 ล้านบาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตยางแผ่นรมควันของสหกรณ์โรงรมยาง ดำเนินงานโดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมฯลฯ

สำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตยางแผ่นรมควันของสหกรณ์โรงรมยาง เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557 สิ้นสุด 30 กันยายน 2558 รวมระยะเวลา 1 ปี โดยนำร่องปรับปรุงสหกรณ์โรงรมยางเดิมที่ประสบปัญหาจำนวน 8 แห่ง ซึ่งนำพลังงานทดแทนมาใช้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ก๊าซชีวภาพ เป็นต้น เพื่อลดการใช้พลังงาน ตลอดจนปรับปรุงบ่อก๊าซชีวภาพจากน้ำเสีย เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนในสหกรณ์โรงรมยางนำร่อง ทั้งนี้ โครงการฯดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อการประหยัดเชื้อเพลิงได้ 40% ผลิตยางแผ่นได้เพิ่มขึ้น 40% ลดระยะเวลาในการอบยางแผ่นลง 20% อีกทั้ง สามารถสร้างรายได้ให้กลุ่มสหกรณ์ได้เพิ่มขึ้นกว่า 10% ซึ่งหากโครงการดังกล่าวประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี กสอ. ก็จะเดินหน้าขยายผลการปรับปรุงสหกรณ์โรงรมยางแห่งอื่นๆต่อไป

ทั้งนี้ ยางพารานับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดใหญ่รวมถึงก่อให้เกิดรายได้และประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ไทยกลายเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติมากเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยในปี 2557 ในช่วงเดือนมกราคม – กันยายน ที่ผ่านมาไทยสามารถผลิตยางพาราได้กว่า 2.1 ล้านตัน (ข้อมูล : ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) และสามารถส่งออกได้ถึง 3.66 ล้านตัน ทิ้งห่างอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ผลิตได้ประมาณ 2.7ล้านตัน และ 0.8 ล้านตัน ตามลำดับ บนพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศกว่า 22 ล้านไร่ (ข้อมูล : สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร) โดยเป็นยางแผ่นรมควัน (Ribbed smoked sheet) 5.8 แสนตันหรือ20% ของกำลังการผลิตยางแผ่นทั้งหมด

จากการตรวจสอบพบว่า ปัญหาของการผลิตยางแผ่นรมควันของสหกรณ์กองทุนสวนยางในพื้นที่ 5 จังหวัดดังกล่าวคือการแห้งของแผ่นยางที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากความร้อนที่เข้าสู่ห้องอบกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ มีความร้อนมากเป็นจุดๆทำให้แผ่นยางแผ่นรมควันที่ได้จึงมีคุณภาพต่ำ อีกทั้งต้องใช้ไม้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมากต่อการอบแต่ละครั้ง แต่ปัจจุบันการผลิตแผ่นยางรมควันโดยเกษตรกรกลับมีไม่มาก กำลังผลิตรวมกันแล้วประมาณ 20% ของกำลังการผลิตยางแผ่นทั้งหมดเนื่องจากมีปัญหาหลายประการ เช่น ขาดการบริหารจัดการที่ดีทำให้บางกลุ่มขาดทุนและหยุดกิจการ

"การปรับปรุงประสิทธิภาพและการลดต้นทุนการผลิตยางแผ่นรมควันของสหกรณ์ฯจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อลดต้นทุนการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้ายางพารา ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น และกลุ่มสหกรณ์มีความเข้มแข็งและยั่งยืนตลอดจนเพื่อไม่ให้กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเป็นลำดับต้นๆ ของโลก"นายอาทิตย์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ