กระทรวงวิทย์ฯ หนุนต่อยอดสารสกัดยางพาราสู่ตลาดเครื่องสำอางแก้ราคาตกต่ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 30, 2015 17:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงฯ มีนโยบายร่วมแก้วิกฤตยางพาราด้วยการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต ตลอดจนสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในการแปรรูปยางพารา และขณะนี้มีงานวิจัยหลายโครงการที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเซรั่มน้ำยางพาราเพื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องสำอางมูลค่าสูงสู่เชิงพาณิชย์

โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(TCELS) ได้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนากับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร หลังจากศึกษาแล้วพบว่า เซรั่มซึ่งเป็นส่วนใสของน้ำยางพารานั้นมีสารสกัด Hb สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีเอกลักษณ์ผ่านการพิสูจน์ว่าไม่ก่ออาการระคายเคือง ตลอดจนได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครภายใต้ระบบมาตรฐานสากลและได้รับการตอบรับจากการทดลองจำหน่ายในท้องตลาดเป็นอย่างดี

"การเปิดตัวขายสารสกัดในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างนวัตกรรมแปรรูปสารสกัดยางพารา มาเป็นนวัตกรรมความงามเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ การเชื่อมรอยต่อนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เกิดความต้องการใช้ผลผลิตจากสวนยางในเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลงานนี้ได้บรรจุอยู่ในบัญชีนวัตกรรมแล้ว" นายพิเชฐ กล่าว

ทั้งนี้ ประเทศไทยปลูกยางพาราทั่วประเทศราว 22 ล้านไร่ มากเป็นอันดับสองรองจากประเทศอินโดนีเซีย แต่มูลค่าส่งออกของไทยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมหาศาลในแต่ละปี แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาราคายางพาราได้ลดลงอย่างแต่เนื่อง แม้รัฐบาลจะพยายามเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการพยุงราคาเพื่อรักษาเสถียรภาพแล้วก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากมีการนำน้ำยางพาราไปแปรรูปมีเพียงร้อยละ 12 หรือประมาณ 5 แสนตัน ขณะที่ผลผลิตน้ำยางมีมากถึง 4.2 ล้านตัน ทำให้เกิดปัญหายางล้นตลาด

ด้านนายนเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการTCELS กล่าวว่า TCELS ได้ทำการศึกษาประเมินมูลค่าสารสกัดยางพาราซึ่งจากการสืบค้นไม่พบการจำหน่ายและราคาจำหน่ายสารสกัด Hb ที่สกัดจากยางพาราในระดับนานาชาติมาก่อนการประมาณราคาขายจึงได้จากต้นทุนการผลิต และเทียบกับราคาสารสกัดเครื่องสำอางจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอื่นๆในท้องตลาด โดยสารสกัด Hb นี้ มีจุดเด่นที่แตกต่างคือ มีองค์ประกอบของสารที่มีคุณค่าต่อผิวพรรณมากมายนับสิบชนิด ผลที่ได้จึงไม่เพียงช่วยให้หน้าใส ฟื้นฟูสภาพผิวจากริ้วรอยฝ้า ตลอดจนลดความมันและการอักเสบของสิวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดเรือนริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัดด้วย สำหรับราคาที่จะจำหน่ายนั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 45,000บาท โดยขณะนี้มีบริษัทที่ใช้สารสกัด Hb จำนวน 1 บริษัท อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 1 บริษัท

"ประเทศไทยมียอดขายเครื่องสำอางในประเทศสูงถึง 120,000 ล้านบาท และยังครองตลาดเครื่องสำอางของกลุ่มประเทศอาเซียนในลำดับต้นๆ จึงเป็นโอกาสดีที่จะเป็นทางเลือกให้บริษัทภายในประเทศนำสารสกัด Hb นี้ไปพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและปั้นแบรนด์ของตัวเองได้หลากหลาย นับเป็นการชุบชีวิตยางพาราไทย ด้วยนวัตกรรมใหม่เพื่อความงาม ภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างครบวงจรอีกด้วย" นายนเรศ กล่าว

สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกแล้ว ทางโครงการจะรับซื้อน้ำยางสดในราคาที่สูงกว่าราคาในท้องตลาด 10% เพื่อนำมาใช้ผลิตสารสกัดโดยสัดส่วนการใช้น้ำยางสด 300 ลิตร ผลิตสารสกัดได้ 1.44 กิโลกรัม และเพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของเอกชน และกลุ่ม SMEs รวมถึงตลาดต่างประเทศในอนาคต จำเป็นต้องขยายฐานการผลิตไปสู่ระดับอุตสาหกรรมเพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับความต้องการ TCELS จึงมีโครงการที่จะสนับสนุนให้เกิดโรงงานผลิตสารสกัดใน 2 ระดับ คือโรงงาน SME ที่อยู่ใกล้สวนยางพารา สำหรับผลิตเครื่องสำอาง และโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP/PICs ทั้งนี้ ในระยะต่อไป TCELS ได้จัดเตรียมแผนศึกษาความเป็นไปได้ที่จะกระจายการผลิตลงสู่ท้องถิ่นซึ่งมีการปลูกยางพาราในภูมิภาคต่างๆทั้ง 4 ภาค เพื่อทันต่อความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง

ขณะนี้ TCELS ได้จดสิทธิบัตรแล้วใน 4 ประเทศคือ ไทย สิงคโปร์ จีน และอินโดนีเซีย และกำลังรอรับสิทธิบัตรจาก อินเดีย มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีโอกาสในท้องตลาดสูงทั้งนี้ นอกเหนือจากการผลิตสารสกัด Hb เพื่อผิวพรรณแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่มีมูลค่าและความต้องการในตลาดสูงอีกมากมายหลายชนิดสำหรับผลิตภัณฑ์ถัดไปซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวออกสู่ตลาดได้ในเร็วๆ นี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมและหนังศรีษะ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ